เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องลุ้นกันต่อว่าม็อบหรือการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกว่าเยาวชนปลดแอก และต่อมาเปลี่ยนชื่อมาเป็นกลุ่ม “ประชาชนปลดแอก” จะมีการพัฒนาการหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง จะสร้างความกดดันจนเป็นผลสำเร็จได้ตามข้อเรียกร้องสามข้อหลัก คือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐบาลลาออกและยุบสภา ส่วนเรื่องการให้หยุดคุกคามประชาชนอะไรนั่นคงเป็นเพียงข้อย่อยเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมให้เกิดแนวร่วมในการชุมนุม อะไรประมาณนั้น
สิ่งน่าจับตาก็คือ การนัดชุมนุมกันแบบต่อเนื่องเป็นระยะ โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่สกายวอล์ก เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ กลุ่มดังกล่าวก็นัดชุมนุมกันอีกครั้งในวันที่ 10 สิงหาคม ที่รัฐสภา และวันที่ 16 สิงหาคม ตามลำดับ แต่เป็นลักษณะที่ไม่ค้างคืน
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการออกหมายจับ และทำการจับกุมแกนนำบางคน เช่น นายอานนท์ นำภา ทนายความศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์ ระยอง” แกนนำเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย โดยได้แจ้งข้อหาฐานร่วมกันกระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นได้ที่ไม่ใช่เป็นการกระทำในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชนฯ ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุม ชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดฯ อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค กระทำการหรือดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตราย หรือโรคแพร่ระบาดออกไป ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคด้านความปลอดภัย หรือความไม่สะดวกในการจราจรฯ ร่วมกันวางหรือแขวนสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือกระทำด้วยประการใดในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร ร่วมกันตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
เป็นที่น่าสังเกตก็คือ การแจ้งข้อหาในครั้งนี้ไม่มีข้อหาที่เกี่ยวกับการกระทำผิด มาตรา 112 ซึ่งที่ผ่านมา นายอานนท์ นำภา มักมีการพูดจาในลักษณะหมิ่นเหม่กับการกระทำผิดดังกล่าวหลายครั้ง รวมทั้งที่ผ่านมา ก็มีคนไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเอาไว้แล้ว
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากดีกรีความร้อนแรงแล้ว เหมือนกับว่ามีความพยายามเร่งเร้าให้เกิดขึ้น และหากมองกันแบบทำความเข้าใจ ก็เหมือนกับว่ามีความต้องการ “ยั่วให้จับกุม” พร้อมๆ กับการใช้สื่อโซเชียลฯ โหมกระหน่ำกันทุกทาง ขณะเดียวกัน ก็ได้บรรดาพวก “ยุยง” ที่ดันหลังอยู่ข้างหลังฉากอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าในจำนวนนั้นก็ถูกมองว่า มีทั้ง “กลุ่มก้าวหน้า”ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นต้น ออกมายืนอยู่แถวหน้า ขณะที่พรรคเพื่อไทย หากพิจารณากันให้เห็นภาพก็เป็นไปในลักษณะแบบ “ขอโหน” แตะมือเอาไว้ก่อนอะไรประมาณนั้น
เมื่อเห็นภาพของการเคลื่อนไหวที่หลายคนมองว่ามีความเชื่อมโยงถึงกัน และมีความพยายามเคลื่อนไหวในเรื่องที่กระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนหลายคนมีความกังวลว่าจะเกิดความรุนแรง แตกแยกตามมา เพราะหากการชุมนุมที่มีการเลยเถิดก็เชื่อว่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวจากอีกฝ่ายตามมา ซึ่งในเวลานี้ก็เริ่มเห็นการเคลื่อนไหวของอีกกลุ่มขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า “กลุ่มอาชีวะช่วยชาติ”ที่ก่อนหน้านี้ก็เคยออกมาชุมนุมแสดงพลังมาแล้ว และในอีกไม่กี่วัน ก็จะนัดเคลื่อนไหวชุมนุมแสดงจุดยืนกันอีก
อย่างไรก็ดี เมื่อแยกมาโฟกัสกันเฉพาะประเด็นการจับกุมแกนนำบางคน รวมไปถึงการออกหมายจับอีกบางคน ที่หลายคนมองว่าอาจเป็นการ “เติมเชื้อไฟ” หรือทำให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่ง มันก็เหมือนกับการ“ตั้งข้อหา”เป็นชนักปักหลังเอาไว้ ทำให้แกนนำที่ถูกจับกุมดำเนินคดีจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกในอนาคต เพราะเมื่อนำตัวฝากขัง และมีการขอประกันตัวก็จะถูกตั้งเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราว เหมือนกับที่ทั้ง นายอานนท์ นำภา และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก ที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวกระทำผิดในลักษณะเดิมอีก
แม้ว่าข้อหาดังกล่าว หากว่ากันไปตามความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ใช่ข้อหาร้ายแรงนัก แต่ก็มีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 3 ปี ก็ถือว่าไม่เบาเหมือนกัน และเป็นคดีอาญา และที่สำคัญก็คือ เมื่อโดนตั้งข้อหา และมีเงื่อนไขในการประกันตัวก็เหมือนกับมี “ชนัก” ปักหลัง เคลื่อนไหวไม่สะดวกดังกล่าว และหากยังไม่หยุดก็จะมีอีกหลายคดีตามมา เหมือนกับที่อดีตแกนนำม็อบหลายคนที่เดินเข้าออกศาลและคุกเป็นว่าเล่นนั่นแหละ
ขณะเดียวกัน ในทางการเมืองหากมองกันแบบรู้ทันแล้วมั่นใจได้เลยว่า เป้าหมายหลักก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือลุ้นให้ยกร่างใหม่ และที่ฝันกันหลายต่อลุ้นให้เปลี่ยนโครงสร้างสังคมใหม่ ด้วยการดันหลัง “เด็กๆ” ออกมาเท่านั้น แต่จะทำได้แค่ไหนหรือจะบานปลายไปไกลก็ต้องรอลุ้นสถานการณ์กันอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทุกอย่างก็จะเริ่มเห็นชัด !!