“ปิยบุตร” จวก เผด็จการใช้ “กฎหมาย” ห่อ “ปืน” “กำจัด” สิทธิเสรีภาพประชาชน “จับอานนท์” ปราศรัยเรื่องสถาบัน “สุชาติ” #saveอานนท์ “พ่อจอห์น วิญญู” พวกเราไม่ยอมหรอก “หมอวรงค์” ชี้เป้า 3 อำมหิต “สุทิน” เย้ยสภาพนักปฏิวัติ!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul-ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์หัวข้อ “[ ถึงเวลาหยุดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการที่มุ่ง “กำจัด” สิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุด ]”
โดยระบุว่า “ชวนทุกท่าน ย้อนดูวิธีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ เอา “กฎหมาย” ไปห่อหุ้ม “ปืน” นำ “กฎหมายห่อปืน” ไปใช้บังคับ ใช้กฎหมายอย่างไม่แน่นอนชัดเจน และสุดท้ายการใช้กฎหมายอย่างบิดผัน ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย
การออกหมายจับ ทนายอานนท์ นำภา และ ภาณุพงศ์ จาดนอก โดยไม่มีหมายเรียกก่อน ทั้งที่หมายจับดังกล่าวออกจากกรณีการชุมนุมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2563 แต่ก็เพิ่งจะเอามาใช้จับกุมคุมขังอย่างเร่งด่วนในวันนี้ ทั้งหมดนี้ตรงกับลักษณะของการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการสมัยใหม่
หรือเพียงเพราะว่า พวกเขายืนยันจะปราศรัยเรื่องสถาบันกษัตริย์ เพื่อรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้เคียงคู่กับระบอบประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่จึงต้องพยายามใช้เทคนิควิธีทางกฎหมายมาสกัดกั้น?”
ที่ทำเอาโซเชียลเดือดไปด้วยแฟนคลับสาวกฝั่งที่เรียกตัวเอง “ฝ่ายประชาธิปไตย” ก็คือ กรณี นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “หมายเรียกไม่ต้อง หมายจับเลย #saveอานนท์”
“การจับทนายอานนท์ และเพื่อนนักกิจกรรม คือ การทำลาย “หลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ” และ “ระบอบประชาธิปไตย” ที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน”
ขณะที่ รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ่อของ “จอห์น วิญญู” ได้โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ “@kovitw1ว่า “พวกเราไม่ยอมหรอก!”
ด้าน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ก็ไม่ยอมเช่นกัน โพสต์หัวข้อ “สามอำมหิต”
เนื้อหาระบุว่า “ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน สนับสนุนการดำเนินคดี แกนนำที่ปราศรัยจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์
พวกเราต้องช่วยกันแสดงออก เนื่องจากมีคนที่หนุนหลังม็อบ พยายามบิดเบือน ข้อกฎหมาย
ที่สำคัญ ช่วยกันเรียกร้องให้นักการเมือง สามอำมหิต มานำม็อบเอง อย่าปล่อยให้เขาปลุกระดมลูกหลานที่บริสุทธิ์ เป็นเหยื่อและต้องถูกดำเนินคดี โดยที่ตนเองลอยนวล
#สามตะกร้า
#สามอำมหิต
#สามตะกร้ากลายเป็นสามอำมหิต”
“ลุงสุทิน” แซะแกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก สิ้นลายกลายเป็นหมู
นอกจากนี้ เฟซบุ๊ก Sutin Wannabovorn ของ นายสุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ โพสต์ข้อความระบุว่า
“เคยทนงองอาจดังราชสีห์
มาวันนี้สิ้นลายกลายเป็นหมู
เมื่อแฮ่ร์รี่ พอตเตอร์เจอกูรู
กลายเป็นหมูติดจั่นร่านในกรง”
และโพสต์ด้วยว่า “เป็นนักปฏิวัติมันต้องเดินยืดอกเชิดหน้า ไม่ใช่ทำง่อยเปลี้ยเสียขา เหมือนโถกรถเฉียด”...
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้สรุปข้อกล่าวหาที่ตำรวจใช้ในการออกหมายจับและจับกุม “อานนท์ นำภา” กับ “ภาณุพงศ์ จาดนอก” จากการไปร่วมชุมนุมกับเยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งมีทั้งหมด 8 ข้อกล่าวหา ดังนี้
1) ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในเรื่องเกี่ยวกับการชุมนุม โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2) ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3) ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 กีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
4) ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
5) ฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 114 วางสิ่งของกีดขวางทางจราจร โทษปรับไม่เกิน 500 บาท
6) ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ มาตรา 4 ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษปรับไม่เกิน 200 บาท
7) ฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ มาตรา 34(6) กระทำการอันอาจก่อสภาวะไม่ถูกสุขลักษณะ โทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
8) พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 19 วางสิ่งของบนท้องถนน โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ศาลอาญาอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “อานนท์-ภานุพงศ์” วงเงินประกัน 1 แสนบาท ยังไม่ต้องวางประกันวันนี้ โดยมีเงื่อนไขห้ามกระทำผิดลักษณะเดิมอีก
และที่สำคัญ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 63 เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ บางเขน กทม. นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง เข้ายื่นเรื่องขอให้สภาทนายความฯลบชื่อ นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มพลเมืองโต้กลับ และทนายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกจากทะเบียนทนายความ
เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายละเมิดข้อบังคับสภาทนายความฯ จากการปราศรัยที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 63 มีเนื้อหายุยง ปลุกปั่น บิดเบือน และล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมี นายเกียรติศักดิ์ เหลืองอังกูร อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย และ นายปัญญา จารุมาศ เลขานุการคณะกรรมการมรรยาททนายความ เป็นผู้รับเรื่อง
อีกทั้ง นายอภิวัฒน์ กล่าวว่า เดิมตนไปร้องทุกข์กล่าวโทษ นายอานนท์ ที่ สน.สำราญราษฎร์ ไว้แล้ว กรณี นายอานนท์ ขึ้นปราศรัยล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเคารพของคนไทย การปราศรัยดังกล่าว เป็นการบิดเบือนความจริง หมิ่นประมาท เสียดสี ยุยงปลุกปั่น ก่อให้เกิดความเสียหาย และความชิงชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อหวังผลให้ประเทศเกิดความแตกแยกความสามัคคี ความวุ่นวายปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว
“ในฐานะที่นายอานนท์เป็นทนายความ แต่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ต่อศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของวิชาชีพ อีกทั้งสภาทนายความ ก็อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดังนั้น จึงควรมีมาตรการลงโทษ โดยการลบชื่อนายอานนท์ ออกจากทะเบียนทนายความโดยเร็วที่สุด”
และยืนยันด้วยว่า การแจ้งความเอาผิดกับนายอานนท์ ทั้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ และต่อสภาทนายความฯนั้น เป็นการดำเนินการในฐานะส่วนตัวที่รักและเทิดทูนสถาบัน ไม่ได้มีใครมอบหมายมาทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับทางรัฐบาล แม้ตนจะมีตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีก็ตาม อีกทั้งตนก็ไม่ได้ต้องการปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน แต่ยอมรับไม่ได้กับพฤติกรรมของนายอานนท์ ที่เข้าข่ายความผิดกฎหมายบ้านเมืองหลายข้อหา...
แน่นอน, ในเมื่อการกระทำที่มีทั้งผู้เห็นว่า ไม่ผิด เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แม้ว่า เข้าข่ายผิดกฎหมายก็ตาม แต่ก็ยังอ้างว่า กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือของเผด็จการ เพื่อ “กำจัด” สิทธิเสรีภาพของประชาชน
กับฝ่ายที่ยืนยันว่า เป็นการทำผิดต่อทั้งกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดเจน เป็นการกระทำที่หมิ่นสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย และมีคนหนุนหลัง เพื่อหวังผลทางการเมือง หวังผลต่อประโยชน์ส่วนตน ที่ต้องการทำให้แตกความสามัคคีในหมู่ประชาชน อย่างชัดแจ้ง
แล้วทั้งสองฝ่ายต่างยอมไม่ได้ และพร้อมที่จะต่อสู้ เพื่อปกป้องอุดมการณ์ของตัวเอง อะไรจะเกิดขึ้น ยิ่งมีคนรุ่นใหม่ มีเยาวชน ลูกหลาน อยู่คนละข้างกันคนรุ่นเก่า รุ่นพ่อแม่ ลุงป้าน้าอาด้วยแล้ว ยิ่งนับว่า น่าคิดอย่างยิ่ง ว่าจะมีทางออกอย่างไรดี
หาไม่ ก็คงต้องย้ำแล้วย้ำอีกคำเดิม สิ่งที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น อาจไม่มีทางหลีกพ้นเสียแล้ว?