ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ยุ่งแล้ว !! ประธานคณะกรรมการอัยการ ชี้ชัด “เนตร นาคสุข” สั่ง “ไม่ฟ้องคดี” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย...หมายจับบอสยังอยู่ คดีบอสยังไม่จบ !!
หลังการแถลงของคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีของอัยการ กรณี “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง ขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ในข้อหาขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ...ว่าเป็นการสั่งคดีที่ “ถูกต้องแล้ว” เพราะยึดระเบียบ ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานตามสำนวนการสอบสวนที่ตำรวจทำมา ...ไม่ได้ใช้ดุลพินิจสั่งคดีไปตามอำเภอใจ ไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคล ความเห็นของกระแสสังคมหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อ และที่สำคัญ “ตำรวจ” ก็ไม่มีความเห็นแย้ง !!
แม้ก่อนหน้านี้ ได้มี “นักกฎหมาย” ออกมาท้วงติงว่า คดีนี้อัยการสำนักงานอัยการอาญากรุงเทพใต้ได้สั่งฟ้องไปแล้ว... เรื่องเข้าสู่ขั้นตอนของศาลไปแล้ว เพียงแต่ยังนำตัว “บอส” มาขึ้นศาลไม่ได้ เพราะหนีไปต่างประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้อัยการคณะอื่นจะมา “กลับคำสั่งไม่ได้” เพราะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ...แต่ดูเหมือนว่าคณะทำงานของอัยการจะมองข้ามข้อท้วงติงนี้ไป
ล่าสุด “อรรถพล ใหญ่สว่าง” ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) อดรนทนไม่ได้ ต้องทำหนังสือถึง “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด ยกข้อกฎหมายแจกแจงว่า การสั่งคดีของรองอัยการสูงสุด “เนตร นาคสุข” ไม่ชอบ !! ดังนี้...
กรณีพนักงานอัยการ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” และคำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งของอัยการสูงสุด เมื่อตำรวจไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ถึงจะเป็นคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่ฟ้อง... หากตำรวจแย้งอัยการ ให้อัยการส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นแย้งไปยัง อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด เมื่ออัยการสูงสุดชี้ขาดว่า “ไม่ฟ้อง” ถึงจะเป็นคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่ฟ้อง
หากพนักงานอัยการมีคำสั่ง “ฟ้อง” ไว้แล้ว แต่มีการกลับคำสั่งเป็น “ไม่ฟ้อง” ...ให้เสนอตามลำดับชั้นจนถึงอธิบดี เพื่อพิจารณาสั่งคดี แต่ถ้าความเห็นหรือคำสั่งเดิมนั้น เป็นของอธิบดีอยู่แล้ว ให้เสนออัยการสูงสุด หรือรองอัยการสูงสุด ผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณาสั่งคดี
สำหรับกรณีที่มีการสั่งคดีไปแล้ว แต่จำเลย “ร้องขอความเป็นธรรม” เหมือน “คดีบอส” ที่ได้ร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง มีการยกเอาเรื่องความเร็วรถจากสำนวนเดิม 177 กม./ชม. เปลี่ยนมาเป็นไม่เกิน 80 กม./ชม. และจากรายงานพิจารณาศึกษาของ กมธ.กฎหมายฯ สนช. แต่อัยการสูงสุดในขณะนั้น (ร.ต.ต.พงษ์นิวัติ ยุทธภัณฑ์บริภาร) ก็สั่งให้ยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว ... จึงถือว่า คำสั่งฟ้องที่อัยการสั่งไว้ “มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย”
หากยังมีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาอีก อัยการคนใดจะหยิบยกมาพิจารณา สั่งให้สอบสวนเพิ่ม ต้องมีคำสั่งอนุมัติจากอัยการสูงสุดก่อน จึงจะทำได้...ถ้าไปสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่ม โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากอัยการสูงสุดก่อน จึงไม่น่าจะทำได้ และผลที่ตามมาทั้งหลาย รวมทั้ง “คำสั่งไม่ฟ้อง” ก็จะไม่มีผลทางกฎหมาย
สำหรับกรณีที่มีการสั่งคดีไปแล้ว แต่จำเลย “ร้องขอความเป็นธรรม” เหมือน “คดีบอส” ที่ได้ร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง มีการยกเอาเรื่องความเร็วรถจากสำนวนเดิม 177 กม./ชม. เปลี่ยนมาเป็นไม่เกิน 80 กม./ชม. และจากรายงานพิจารณาศึกษาของ กมธ.กฎหมายฯ สนช. แต่อัยการสูงสุดในขณะนั้น (ร.ต.ต.พงษ์นิวัติ ยุทธภัณฑ์บริภาร) ก็สั่งให้ยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว ... จึงถือว่า คำสั่งฟ้องที่อัยการสั่งไว้ “มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย”
หากยังมีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาอีก อัยการคนใดจะหยิบยกมาพิจารณา สั่งให้สอบสวนเพิ่ม ต้องมีคำสั่งอนุมัติจากอัยการสูงสุดก่อน จึงจะทำได้...ถ้าไปสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่ม โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากอัยการสูงสุดก่อน จึงไม่น่าจะทำได้ และผลที่ตามมาทั้งหลาย รวมทั้ง “คำสั่งไม่ฟ้อง” ก็จะไม่มีผลทางกฎหมาย
ดังนั้น การที่ “เนตร นาคสุข” หยิบเอาคดีของ “บอส” กลับมาพิจารณาอีกครั้ง โดยที่ไม่มีคำสั่งจากอัยการสูงสุดให้รื้อฟื้นได้ ... และยังกลับคำสั่งคดีจาก “ฟ้อง” เป็น “ไม่ฟ้อง” จึงมีนัยว่าคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” นี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำสั่งเดิมของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ที่สั่งฟ้อง “บอส” ย่อมยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายอยู่ !!
“อรรถพล ใหญ่สว่าง” เห็นว่า ประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าวนี้ จำเป็นที่ “อัยการสูงสุด” ควรหยิบยกมาพิจารณาทบทวน เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และมีผลต่อความเชื่อถือศรัทธาที่ประชาชน มีต่อองค์กรอัยการ
ความจริงแล้ว ระเบียบและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการสั่งคดี น่าจะ “อยู่ในพุง” สำหรับคนที่เป็นอัยการ เพราะต้องใช้เป็นประจำว่าอันไหนทำได้ หรือไม่ได้ ... แต่กับคดีของ “บอส” ทำไม่จึงมีความคลาดเคลื่อน จนเกิดมีความเห็นแย้ง อย่างน่ากังขา สังคมสับสนว่าอันไหนถูก อันไหนผิด !!
นอกจากนี้ “วิชา มหาคุณ” ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่นายกฯตั้งขึ้น ยังยืนยันว่า ได้ประสานไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ เกี่ยวกับเรื่อง “หมายจับบอส” ได้ถอนไปหรือยัง เพราะมีข่าวว่า หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง ตำรวจก็ได้ไปขอถอนหมายจับ...เรื่องนี้ได้รับคำชี้แจงว่า ตำรวจไปยื่นขอถอนหมายจับจริง แต่ “รสนา โตสิตระกูล” อดีต ส.ว. พร้อมตัวแทนภาคประชาชน ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาล ขออย่าเพิ่งถอนหมายจับ ซึ่งศาลก็เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงขอสอบสวนก่อน ...
ดังนั้นตอนนี้ คำสั่งอัยการ “ไม่ฟ้องบอส” มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ยังไม่ชัดเจน ... แต่ “หมายจับบอส” ยังอยู่ ... “คดีบอส” ยังไม่จบ !!
**จับตา 2 ประเด็นคดี 4 ศพ บ่อนเสี่ยตี้ “บอย บ้านครัว” มือปืนนอมินีหรือตัวจริง แต่งตั้งนายพลศุกร์นี้ น.1 จะอยู่หรือไป !!??
“กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ถือว่าเป็นเทศกาลพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกของจริง ทั้งประเด็น “บอส กระทิงแดง” มาจนถึงเหตุการณ์กราดยิง 4 ศพ อภิมหาบ่อน “เสี่ยตี้” พระราม 3 ท้องที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ที่ตำรวจไทยใจถึงอันเป็นต้นธารยุติธรรม ต้องอยู่ในสภาพเละยิ่งกว่าเละ...เมื่อคุณกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมันจะผิดไปตลอด...“พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา” ผบช.น. ในฐานะตำรวจเบอร์ 1 ของเมืองหลวง เริ่มอ้อมแอ้มยอมรับแล้วว่าถ้าจะเรียกว่ามันคือบ่อนก็ใช่บ่อน และยังยอมรับด้วยว่า มีการย้ายกล้องย้ายอุปกรณ์การเล่นพนันบาคาร่า ออกจากจุดเกิดเหตุ
โต๊ะแทงบาคาร่า อย่างน้อย 14-15 ตัว โต๊ะไพ่โป๊กเกอร์ ชิปประจำบ่อนสำหรับแลกเป็นเงินสด และอื่นๆอีกจิปาถะ หน้าที่ต่อไปของตำรวจก็คือ ตามๆๆ ส่วนจะเจอหรือไม่ ทายอีกก็ถูกอีกคือโอกาสไม่เจอสูงถึงสูงมาก เพราะตอนนี้กระแสสังคมไม่ผิดหวัง (ซ้ำซาก) เฉพาะตำรวจ(นครบาล) แต่ยังลามถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกด้วย มีการตั้งกระทู้ถามในสภาฯ โดย “เสี่ยโจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคราม พรรคเพื่อไทย ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ... เรียกว่า แม้จะรู้ว่าผิดแต่ทำอย่างไรให้เสียหายน้อยที่สุด ประมาณว่า “หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย”
การเด้ง 4 เสือ (รอด 1 เพราะลากิจ) พ่วงด้วยเบอร์ใหญ่ “พล.ต.ต.สามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย” ผบก.น.5 ถือว่าลดกระแสได้ในระดับหนึ่ง แต่ด้วยภาพถ่ายที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่ “น.1” แจกแจงให้สังคมทราบก็ดูเหมือนว่า เรื่องนี้ยังไม่เคลียร์ ข่าวนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ (และบ่อนต่างๆ ที่ไม่รู้เรื่องก็คงยังไม่เปิดได้ง่ายๆ)
ปฏิบัติการเรียกแขก-เชิญทัวร์ด้วยการขอให้ “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่างคนดังมาให้ปากคำ บอกตรงๆ ว่า ท่าน น.1 คิดอย่างไร...คิดเองตัดสินใจเอง หรือมีใครกระซิบมา ดูจากเฟซบุ๊กเสี่ยอ่างที่ออกมาแสดงความรู้สึกไม่ทราบว่าตำรวจไทยใจกล้าได้อ่านช่องแสดงความคิดเห็นหรือเปล่า...“ชูวิทย์” พาดตัวใหญ่ว่า “กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว” พร้อมภาพกำลังขนย้าย ถอดกล้องวงจรปิดในบ่อน...1 พันกว่าความเห็นต่างชื่นชม แช่งชักหักกระดูก (ตำรวจ) อย่างไม่มีชิ้นดี
อาการ “เมาหมัด” ออกทะเล เพราะกลายเป็นข่าวอื้อฉาวฟ้องสังคม หากคิดจะกลัดกระดุมกันใหม่ก็คงไม่สาย สำคัญจะทำกันหรือเปล่าเช่น....การสอบสวนผู้เกี่ยวข้องต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ตรงไปตรงมา อาทิ... หยุดบิดเบือนปล่อยข่าวว่า “ถาวร สีสด” มือปืนกราดยิงเป็นแค่คนทวงหนี้ เพราะข้อเท็จจริงเขาคือนักธุรกิจมีฐานะ แต่โชคร้ายที่มาติดการพนัน....แรงจูงใจที่ก่อเหตุยิง “พ.ต.ต.วัทธเศรษฐ์ สำเนียงประเสริฐ” หรือ “สารวัตรแม็ก”... ผู้บังคับบัญชาที่ไม่สอดส่องดูแลสารวัตรแม็ก เช่น ผกก.สน.แสมดำ หรือ ผบก.น.9 จนเกิดเรื่องอื้อฉาวเสียหายต่อภาพลักษณ์ สตช. ควรถูกสอบสวนอย่างไร หรือไม่
ข้อนี้สำคัญ ใครเป็นคนยิงถาวร !! ??
ข่าวว่าชื่อ “บอย บ้านครัว” ซึ่งเป็นนักเลงคุมบ่อน หรือเพียงนักเล่น เป็นตัวจริงหรือนอมินี...คำถามที่เกิดขึ้นนี้ เพราะมีพยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 ระลอก คือช่วงก่อน 4 ทุ่ม และห่างจากนั้นประมาณ 20 นาที เมื่อตำรวจ 5-6 นาย เดินทางไปถึง
ผลตรวจร่องรอยกระสุนปืนใน “ศพถาวร” ถูกยิงจุดไหน กี่นัด มีหัวกระสุน มีเขม่าปืนหรือไม่
สำหรับผู้เกี่ยวข้อง หรือเจ้าของบ่อน ผู้ดำเนินการ พนักงานสอบสวนจะเรียกตัวเสี่ยตี้ “ศักดิ์ ซีดี” มาสอบสวนหรือไม่ และจะดำเนินการเช่นไร
เมื่อจนด้วยหลักฐานว่าเป็นบ่อนพนันขนาดใหญ่ ผู้รับผิดชอบจะดำเนินการยึดทรัพย์อันเป็นอาคารห้องแถว 10 คูหา ที่ดัดแปลงเป็นบ่อนกาสิโน แห่งนี้หรือไม่
ข้อสุดท้าย..อันนี้ไม่รู้จะเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อย่างไร หรือไม่....ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เรื่องแต่งตั้งระดับนายพลชื่อของ “พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา” ผบช.น. ยังจะนิ่งอยู่ที่เดิมหรือเปล่า !!??