xs
xsm
sm
md
lg

อัยการ-ตร.ไม่ฟื้นวิกฤต ผลสอบ (กันเอง) ชาวบ้านไม่เชื่อ!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

หลายคนคงพูดเป็นเสียงเดียวกัน ทำนองว่า “ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้” อะไรประมาณนั้น หลังจากที่ได้ฟังผลสอบสวนของคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการพิจารณาสั่งคดีของ วรยุทธ หรือ “บอส” อยู่วิทยา ทายาทกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง-เรดบูล แถลงผลการสอบสวน เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยเห็นว่าการสั่งคดีของ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ในคดีดังกล่าว “เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว”

คณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว อันประกอบด้วย นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา น.ส.เสฏฐา เธียรพิลากุล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นต้น

โดยพวกเขาแถลงว่า คณะทำงานพิจารณาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน จากนั้นได้พิจารณาความเห็นและคำสั่งของ นายเนตร นาคสุข แล้วมีความเห็นว่า นายเนตร นาคสุข ได้มีความเห็นและคำสั่งคดีนี้ ไปตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวน และสอบสวนเพิ่มเติมซึ่งปรากฏอยู่ในสำนวน ไม่ได้นำพยานหลักฐานนอกสำนวน หรือที่ไม่ได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนมาสั่งคดี หรือเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งคดีไปตามอำเภอใจ รวมทั้งมีเหตุผลประกอบตามสมควร และภายหลังที่มีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ได้มีการเสนอสำนวนให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อพิจารณาอันเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลการสั่งคดี ของพนักงานอัยการ ซึ่งต่อมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว คณะทำงานเห็นว่า การสั่งคดีของ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว

แม้คดีนี้จะมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว คณะทำงานตรวจพบว่า คดียังไม่ถึงที่สุด กล่าวคือเมื่อมีพยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็สามารถสอบสวนต่อไปได้

อย่างไรก็ดี ในคำแถลงของคณะทำงานของฝ่ายอัยการดังกล่าวเป็นการเน้นย้ำในสองประเด็นหลัก ก็คือ การสั่งไม่ฟ้องของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดที่ทำหน้าที่แทนอัยการสูงสุดนั้น เป็นการสั่งคดีโดยชอบปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันอีกประเด็นหนึ่งก็คือมีการ “ตรวจพบสารเสพติดประเภทโคเคนในเลือด” ที่พนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และพบพยานหลักฐานทางวิชาการในเรื่องการขับรถด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด คือ ประมาณ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ไม่พบในสำนวนการสอบสวน

โดยทั้งสองกรณีดังกล่าวถือว่าเป็น “ข้อมูลใหม่” โดยกรณีแรกมีโทษตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มีอัตราโทษจำคุก 6 เดือนถึง 3 ปี (อายุความตามกฎหมาย 10 ปี) และเตรียมเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาดำเนินการแจ้งพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ต่อไป

แน่นอนว่า หากพิจารณากันแบบภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่างานนี้ ทั้ง “พลิ้ว” ทั้งโบ้ย อะไรประมาณนั้น เพราะเมื่อมีความเห็นออกมาแบบนี้มันก็เหมือนกลับมาตั้งต้นใหม่ มีการสอบสวนกันใหม่ ที่สำคัญคือ เหมือนกับการ “โยนกลับไปที่ฝ่ายตำรวจ” และทำให้เข้าใจว่า มีการทำสำนวนบกพร่องหรือไม่รัดกุมรอบคอบ เช่น การไม่บรรจุเรื่องสารเสพติดประเภทโคเคนในเลือด รวมไปถึงกรณีขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนดไว้ในสำนวน หรือไม่แจ้ข้อหาดังกล่าว เอาเป็นว่างานนี้อัยการโยนกลับไปที่ฝ่ายพนักงานสอบสวนหรือฝ่ายตำรวจเต็มๆ

แต่อย่างไรก็ดี นาทีนี้ถือว่าได้ผ่านขั้นตอนในทางกฎหมาย หรือการอ้างอิงในทางกฎหมายให้ชาวบ้านเวียนหัว ที่มองได้ว่า “เฉไฉ” ไปได้เรื่อย เพราะหากพิจารณาจากความรู้สึกของชาวบ้านแล้ว ไม่ว่าตำรวจ และอัยการมีภาพลักษณ์ไม่ได้ต่างกัน สร้างวิกฤตศรัทธาจนถึงที่สุดแล้ว จึงมีเสียงเรียกร้องกดดันให้มีการ “ปฏิรูป” ทั้งสององค์กรอย่างขนานใหญ่ อีกทั้งมีการคาดหมายกันตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะต้องออกมาในรูปนี้ นั่นคือ“การสั่งคดีทำไปโดยชอบ”ซึ่งผลการตรวจสอบของอัยการในวันนี้ ก็สามารถฟันธงได้ล่วงหน้าไม่ต่างกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฝ่ายตำรวจ ที่จะต้องออกมาในแนวเดียวกัน คือ “ถูกต้อง” ทำตามพยานหลักฐาน ทำตามหน้าที่ อะไรประมาณนั้น

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ความคิดเห็นของประชาชนที่ออกมาทันทีที่ได้รับฟังการแถลงของคณะทำงานตรวจสอบของฝ่ายอัยการดังกล่าวนั้นคือมีแต่เสียงวิจารณ์ในทางลบเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพราะความรู้สึกนั้นไปไกลแล้วคือ ต้อง “ปฏิรูป” รื้อสถานเดียวเท่านั้น !!


กำลังโหลดความคิดเห็น