วันนี้ (30 ก.ค.) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติยุติเรื่องกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ประกอบมาตรา 140 หรือไม่
เนื่องจากเห็นว่าตามมาตรา 172 วรรคหนึ่งและวรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ คณะรัฐมนตรีสามารถตราพระราชกำหนดได้ในกรณีที่เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในอันรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ประกอบกับที่ผ่านมาได้เกิดสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดอย่างฉับพลัน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เป็นผลให้ผู้ประกอบการซึ่งระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ต้องประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างกะทันหัน และมีแนวโน้มที่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้ อันเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งหากไม่เร่งรีบดำเนินการป้องกันและวางแนวทางแก้ไขไว้ก่อนย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง เนื่องจากกระบวนการตราพระราชบัญญัติก็ไม่อาจตอบสนองต่อวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีตราพระราชกำหนดดังกล่าวก็เพื่อมิให้ปัญหาวิกฤติของตลาดตราสารหนี้ลุกลาม อันเป็นการทำหน้าที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของรัฐในการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับที่ร้องว่ามาตรา 20 ของ พ.ร.ก.กู้เงิน ขัดต่อมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญนั้น เห็นว่ามาตรา 20 มีเจตนารมณ์ในการกำหนดกระบวนการบริหารจัดการกองทุนเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่อาจทราบได้ว่าการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีกรณีที่ต้องจ่ายเงินแผ่นดินเกิดขึ้นหรือไม่ แต่หากเกิดกรณีที่ต้องชดเชยความเสียหายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการงบประมาณและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปให้สอดคล้องตามมาตรา 140