“ปณิธาน วัฒนายากร” ร่ายยาวตอบข้อสงสัยปมถูกล่าชื่อถอดถอนออกจากผู้สอนวิชาการต่างประเทศของไทยในการเมืองโลกสมัยใหม่ หลังนิสิตรัฐศาสตร์ 86 รายชื่อ อ้างทำให้สิทธิถูกละเมิด ผู้สอนมีกิริยาในลักษณะข่มขู่ผู้เรียน ไม่ตรงต่อเวลา อธิบายเนื้อหาเพียงเล็กน้อย วกไปวนมา
วันนี้ (24 ก.ค.) รองศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ในภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวบัญชี “Panitan Wattanayagorn” ระบุข้อความว่า
ตามที่มีนิสิตบางท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเรียนการสอน วิชาการต่างประเทศของไทยในการเมืองโลกสมัยใหม่ (Thai Foreign Relations in Modern World Politics) ของผมในภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น
ผมได้ชี้แจงทำความเข้าใจไปแล้วส่วนหนึ่งตั้งแต่แรกเมื่อได้รับทราบ แต่ปรากฏว่า มีนิสิตบางท่าน ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรือไม่สบายใจบางประการอยู่ และได้สื่อสารข้อสงสัยดังกล่าว 4 ข้อผ่านสาธารณะไปเมื่อเร็วๆ นี้
ผมจึงขออนุญาตใช้พื้นที่นี้ เพื่อชี้แจงเพิ่มเติมต่อข้อสงสัยที่ได้ตั้งขึ้นมา ดังนี้
ข้อสงสัยที่ 1. ผู้สอนได้แต่งตั้งนิสิตผู้ช่วยสอนซึ่งเป็นนิสิตจากในชั้นเรียน โดยวิธีการประกาศรับสมัครในขั้นต้นเพียงไม่กี่คน การใช้นิสิตในชั้นเรียนที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นการใช้งานที่ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดความไม่โปร่งใสในเรื่องการให้คะแนน ความไม่เป็นกลางต่อนิสิตในชั้นเรียนคนอื่นๆ รวมถึงอภิสิทธิ์ของผู้ช่วยสอน เช่น ได้เห็นผลการประเมินที่คนอื่นในชั้นเรียนไม่เห็น การใช้งานผู้ช่วยสอนที่เป็นนิสิตในชั้นเรียนยังเป็นการเพิ่มภาระให้นิสิตโดยไม่จำเป็น
ตอบ : วิชานี้มี “นิสิตผู้ช่วยสอน” ระดับนิสิตปริญญาเอกที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐศาสตร์อย่างเป็นทางการ 1 ท่านอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่นิสิตในชั้นเรียนตามที่อ้าง โดยนิสิตผู้ช่วยสอนดังกล่าวได้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบและข้อบังคับโดยเรียบร้อย
ส่วนการมี “นิสิตอาสาสมัคร” มาช่วยประสานงานในวิชานี้ ซึ่งมีนิสิตลงทะเบียนเรียนจำนวน 269 คนนั้น มาจากการประกาศและรับสมัครอย่างโปร่งใสในระบบออนไลน์ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการเรียนการสอน และได้มีการลงคะแนนเลือกตัวแทนของนิสิตจาก 4 ภาควิชา คือ ภาควิชาการปกครอง ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 10 ท่าน ด้วยความสมัครใจระหว่างนิสิตด้วยกันเองในคาบวิชาแรกที่มีการเรียนการสอนในห้อง ซึ่งนิสิตที่ไม่ได้มาเรียนและออกเสียงในคาบวิชาแรกนั้น จะเสียโอกาสในการมีส่วนร่วมกำหนดแนวทางการเรียนการสอน ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของผมตลอดเวลามากกว่า 30 ปี ในการสอน รวมทั้งที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศหรือกว่า 27 ปีที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ในการประสานงานของนิสิตทั้ง 10 ท่านนี้ ก็คือ การช่วยประสานงานให้นิสิตทุกท่านที่เรียนวิชานี้ได้รับความสะดวก เช่น ช่วยนัดหมายกับผู้สอน ช่วยประสานงานเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ช่วยเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชา และที่สำคัญก็คือช่วยให้นิสิตทั้ง 269 ท่าน ได้เตรียมโครงงานและพบกับผู้สอนหลายครั้ง เพื่อการนำเสนอโครงงานในรูปแบบวิดีทัศน์ในช่วงปลายภาคเรียน ซึ่งรวมทั้งการประสานให้ผู้เชี่ยวชาญจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มานำเสนอเทคนิคการทำวีดีทัศน์ที่คณะหลายครั้ง ซึ่งผมก็อยู่ร่วมรับฟังด้วย
ดังนั้น นิสิตทั้ง 10 ท่านนี้ จึงมีจิตอาสาที่จะทำงานให้ส่วนรวม เสียสละเวลาบางส่วนนอกเหนือเวลาเรียน และยินดีที่จะเข้ารับการประเมินผลเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งจากการอาสามาทำงานให้กับเพื่อนๆ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเห็นผลการประเมินของผู้อื่นในชั้นเรียน หรือไม่เป็นกลาง หรือมีอภิสิทธิ์อื่นใดอย่างที่นิสิตบางท่านเข้าใจผิด ในความเป็นจริงแล้ว ผมต้องขอขอบคุณนิสิตทั้ง 10 ท่านมา ณ ที่นี้ด้วย และต้องขออภัยแทนเพื่อนบางท่านที่เข้าใจผิด และอาจจะคิดหรือทำอะไรให้ทั้ง 10 ท่านนี้เสียชื่อเสียงได้
ข้อสงสัยที่ 2. ผู้สอนมีกิริยาท่าทางในลักษณะข่มขู่คุกคามนิสิตในชั้นเรียน รวมถึงพูดจาไม่เหมาะสม เช่น ยื่นไมโครโฟนถามเรื่องส่วนตัวของนิสิต, ชี้นิ้วสั่งให้นิสิตย้ายที่นั่งด้วยเหตุผลที่ไม่จำเป็น, อวดอ้างตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง เช่น บอกว่ามีตำแหน่งหน้าที่ระดับประเทศที่สามารถล้วงข้อมูลส่วนตัวทางไซเบอร์ของนิสิตได้, ต่อว่านิสิตที่คิดเห็นต่างว่าเพี้ยน เลอะเลือน, กล่าวถ้อยคำที่มีนัยยะเหยียดเพศ เช่น ผู้ชายควรอยู่ตำแหน่งนี้ของกลุ่ม ผู้หญิงควรอยู่อีกตำแหน่งของกลุ่ม ฯลฯ
ตอบ : การถามคำถามแบบระบุตัวนิสิตก็เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในการเรียนการสอน ถ้านิสิตบางท่านรู้สึกว่าถูกคุกคาม ผมก็จะรับไว้พิจารณา ส่วนการขอให้นิสิตมาตรงเวลาและนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในชั้นเรียนตั้งแต่คาบแรก ส่วนท่านที่ไม่ได้มาเรียนและไม่ได้ลงคะแนนสำหรับข้อตกลงต่างๆ นั้น ก็อาจจะไม่ทราบในเรื่องนี้
ส่วนการแนะนำตัวของผู้สอนนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องปกตินะครับ ซึ่งผมก็ทำในช่วงแรกของการเรียนการสอนเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำ และปรากฎว่ามีนิสิตที่เมื่อเรียนจบวิชาไปแล้ว ยังไม่ทราบแม้แต่ชื่อผู้สอนเลยก็มีนะครับ
ในวิชานี้ มีการห้ามไม่ให้ใช้อุปกรณ์สื่อสารในห้องเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนด้วยครับ ก็เป็นข้อตกลงกันในชั้นเรียนตั้งแต่แรกเช่นกัน ส่วนที่บอกว่าผมมีตำแหน่งหน้าที่ระดับประเทศที่สามารถล้วงข้อมูลส่วนตัวทางไซเบอร์ของนิสิตได้นั้น ผมมิได้กล่าวอ้างเช่นนั้น เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าในบริบทของโลกสมัยใหม่ ข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ในระบบออนไลน์นั้น ไม่สามารลบออกได้ และใครๆ ก็อาจจะเข้าถึงข้อมูลนั้นได้
ในเรื่องต่อว่านิสิตที่เห็นต่างนั้น ไม่จริงนะครับ โดยเฉพาะการใช้คำพูดที่ไม่ดี หรือไม่ให้เกียรตินิสิต ผมเปิดโอกาสและยินดีที่จะให้นิสิตมีส่วนร่วมในชั้นเรียนอยู่เสมอ หลายครั้งก็ต้องเรียกให้นิสิตแสดงความเห็นและแลกเปลี่ยนกันในชั้น อย่างที่นิสิตหลายคนบ่น แต่ในส่วนตัวผมนั้น ชอบที่จะฟังความเห็นต่างและแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกันกับคนรุ่นใหม่ แต่ในการแลกเปลี่ยนดังกล่าวนั้น ก็ย่อมจะต้องมีการเห็นพ้องและเห็นต่างบ้างตามปกติ
ส่วนเรื่องการกำหนดว่านิสิตแต่ละกลุ่มทั้ง 16 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 16-17 ท่านที่จะต้องทำโครงงานนั้น จะต้องมาจากทั้ง 4 ภาควิชา รวมทั้งจะต้องมีทุกเพศ และตามเพศสภาพนั้น ก็เป็นข้อตกลงตั้งแต่แรกอีกเช่นกัน
ทั้งหมดเหล่านี้ หากนิสิตท่านใดเข้าใจเจตนาของผมผิดไป ผมก็เสียใจครับ
ข้อสงสัยที่ 3. ผู้สอนไม่ตรงต่อเวลาอยู่เสมอ ในชั้นเรียน ผู้สอนนัดหมายนิสิตเข้าชั้นเรียน 13.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ช้ากว่าเวลาเรียนปกติ 30 นาที และผู้สอนก็ยังคงมาสายกว่าเวลาดังกล่าว ผู้สอนมักจะนัดหมายให้นิสิตไปพูดคุยเพื่อปรึกษางานหลังเลิกเรียนซึ่งผู้สอนก็มักไม่ตรงเวลานัดกับนิสิต ทำให้นิสิตต้องรอคอยเป็นเวลานาน
ตอบ : ไม่จริงครับ การนัดหมายให้นิสิตทั้ง 269 ท่านมาเข้าชั้นเรียนในเวลา 13.30 น.นั้น มาจากข้อเสนอของนิสิต และได้มีการออกเสียงลงคะแนนกันในชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคาบเรียนแรกด้วยครับ เหตุผลก็คือมีนิสิตหลายท่านไปเรียนที่คณะอื่นๆในช่วงเช้า ซึ่งอยู่ห่างจากคณะของเราพอสมควร และจะต้องรอรถบัสของมหาวิทยาลัย เพื่อกลับมาคณะและยังจะต้องมาเข้าแถวเพื่อรอขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องเรียนของเราที่ชั้น 13 ซึ่งนิสิตแจ้งว่าจะไม่ทันเวลา 13.00 น. จึงเป็นที่มาของข้อเสนอของนิสิตในเรื่องนี้ และก็ได้ปฏิบัติกันมาแบบนี้มาทุกปีครับ โดยมีการทดเวลาด้วยการไม่มีพักระหว่างสอนครับ
ส่วนเวลาการเริ่มสอนก็เป็นไปตามข้อตกลงเช่นกันครับ คือผมจะมารอนิสิตและเตรียมสอนอยู่ในห้องทำงานที่ภาควิชาฯ ตั้งแต่ช่วงก่อนเที่ยงในวันที่มีการเรียนการสอน ในขณะที่นิสิตผู้ประสานงานทั้ง 10 ท่านจะแบ่งหน้าที่กัน เพื่อเตรียมความเรียบร้อยต่างๆในห้องเรียนและอื่นๆ เมื่อเพื่อนๆพร้อมแล้ว ก็จะแจ้งให้ผมทราบเพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งมีข้อตกลงกันว่าจะปิดประตูไม่ให้ใครเข้าออกห้องเรียนอีกหลังเวลา 13.45 น.ยกเว้นจะมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ ครับ
ส่วนการนัดปรึกษานั้น นิสิตช่วยประสานงานทั้ง 10 ท่านก็จะจัดเวลาและควบคุมเวลาในการนัดต่างๆ ซึ่งในบางครั้งนิสิตส่วนใหญ่ที่มาปรึกษาโครงงานนั้น ทำการบ้านมามากและมีประเด็นมาสอบถามหลายประเด็น ทำให้เวลาอาจจะเกินกำหนดของแต่ละกลุ่มไปบ้าง ซึ่งผมก็ได้ให้นิสิตผู้ช่วยประสานงานแจ้งและสอบถามกลุ่มอื่นๆ เพื่อขอเวลาเพิ่มอยู่เสมอ ผมต้องขอขอบคุณนิสิตส่วนใหญ่ที่เข้าใจในเรื่องนี้ และผมก็ต้องขออภัยหากเรื่องนี้ ทำให้เกิดผลกระทบต่อนิสิตบางท่านด้วยครับ
ข้อสงสัยที่ 4. ผู้สอนนำเนื้อหาบางส่วนของหนังสือจำนวนมากมารวมแล้วถ่ายเอกสารประกอบการเรียนการสอน ส่วนการเรียนในชั้นเรียน ผู้สอนอธิบายเนื้อหาเพียงเล็กน้อยวกไปวนมา ไม่เหมาะสมกับระยะเวลา ขาดความละเอียดในการถ่ายทอด ข้อสอบของผู้สอนเป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือกและแบบเลือกคำตอบถูกและผิด การสอนและออกข้อสอบเช่นนี้เป็นการตีกรอบให้นิสิตและมิได้เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์และตีความอันเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21
ตอบ : ข้อนี้ยอมรับครับว่าวิชานี้มีเนื้อหามาก เพราะการต่างประเทศของไทยในการเมืองโลกสมัยใหม่นั้น มีความซับซ้อนและมีงานทางวิชาการหลายหลาก โดยเฉพาะเรื่องแนวคิดที่ขัดแย้งกันพอสมควร ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจและอื่นๆ ดังนั้น วิชานี้ จึงมีเอกสารบังคับที่นิสิตจะต้องอ่านในสองภาษารวม 30 ชิ้น และเอกสารแนะนำให้อ่านอีก 38 ชิ้นสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นความรู้ด้านการต่างประเทศนัก แต่ทั้งหมดเหล่านี้ นิสิตมีเวลาประมาณ 15-17 สัปดาห์ในการศึกษาและทำความเข้าใจกับเนื้อหา
ในส่วนของเนื้อหาวิชานั้น ครอบคลุมหัวข้อสำคัญ 3 ส่วน คือ 1) เรื่องประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในอดีต (ซึ่งก็ต้องสอบเก็บคะแนน 1 ครั้ง 30 คะแนน) 2) เรื่องนโยบายการต่างประเทศของไทยและความท้าทายในปัจจุบัน (ก็ต้องสอบเก็บคะแนนกันอีก 1 ครั้ง 30 คะแนน) และ 3) เรื่องทิศทางและแนวทางการแก้ปัญหาในการต่างประเทศของไทยในอนาคต ซึ่งในส่วนนี้ นิสิตทั้ง 16 กลุ่มจะต้องนำเสนอในรูปแบบวีดีทัศน์ 40 คะแนน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากกระทรวงการต่างประเทศ จากสื่อสารมวลชน นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ 4-5 ท่านมารับชมและให้ความเห็นด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผมได้นำความเห็นไปประกอบการประเมินและให้คะแนน (รายละเอียดอยู่ในประมวลรายวิชา 14 หน้าที่ได้แจกจ่ายให้นิสิตในคาบแรก)
ส่วนการบรรยายของผมทุกครั้ง ก็จะเป็นการเน้นสรุปประเด็นที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อความเข้าใจด้วย PowerPoint ทุกครั้ง โดยถือว่านิสิตทุกท่านได้อ่านเอกสารบังคับอ่านมาเป็นอย่างดีแล้ว อีกทั้งผมยังได้เน้นแทบทุกครั้งว่า ในเมื่อเราตกลงกันแล้วด้วยการออกเสียงลงคะแนนว่าจะต้องสอบในรูปแบบข้อสอบปรนัย ซึ่งนิสิตก็ทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า เหมาะกับผู้เรียนจำนวนมากๆ สามารถใช้วัดความรู้พื้นฐานได้ดี และครอบคลุมรายละเอียดหรือเนื้อหาได้มาก ซึ่งก็เป็นวัตถุประสงค์ของวิชานี้ เพื่อเป็นฐานความรู้ในการเรียนวิชาอื่นๆที่สูงขึ้น ต่างกับข้อสอบอัตนัย ซึ่งเน้นการวัดเจตคติ ทักษะ หรือความความเห็นส่วนบุคคล เพราะฉะนั้น สิ่งที่นิสิตจะต้องทำเพื่อให้ได้คะแนนดีในวิชานี้ก็คือ ต้องอ่านเอกสารบังคับให้ครบทุกชิ้น และเก็บประเด็นในการบรรยายของผมให้ได้มากที่สุด ซึ่งผมก็สรุปให้นิสิตแล้วใน PowerPoint นั่นเอง
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อนิสิตบางท่านที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเข้าใจผิดในเรื่องข้อสังเกตทั้ง 4 ข้อข้างต้นนี้ เมื่อได้อ่านข้อเท็จจริงนี้แล้ว จะได้เข้าใจและสบายใจขึ้น
ขอบคุณครับ