“อันวาร์” พกหมวกกันน็อกชำแหละ ปชป.ตกต่ำ แฉรับใบสั่งถอด “วิลาศ” แนะมอง พท.-ก้าวไกล ทำอย่างไรเข้าถึงใจ ปชช. “จุรินทร์-ลูกพรรค” ยันภาพลักษณ์ดีขึ้น ขอเอกภาพในพรรคอย่าบั่นทอนความก้าวหน้า เลขาฯ โต้ไม่เคยตกต่ำ สวนดีแต่พูดคือติแต่ไม่ช่วย
วันนี้ (19 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก ทั้งผู้บริหาร ส.ส. อดีต ส.ส. และสมาชิกพรรค อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค, นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างรอสมาชิกเข้าร่วมงาน นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี ได้เดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ เมื่อมาถึงงานนายอันวาร์ได้ถือหมวกกันน็อกเข้ามาในงานด้วยพร้อมใส่โชว์ให้ผู้สื่อข่าวดู โดยอ้างว่าต้องพกหมวกกันน็อกมาด้วย เพราะตนจะร่วมแสดงความเห็นในช่วงที่จะให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นในวาระการประชุมเปิดแผนยุทธศาสตร์ จึงกลัวโดนรุมจึงต้องเอาหมวกกันน็อกมาด้วย แต่สุดท้ายนายอันวาร์ก็ถอดหมวกกันน็อกออก ไม่ได้ใส่เข้าร่วมประชุมแต่อย่างใด
ต่อมาเมื่อเวลา 10.14 น. นายจุรินทร์ได้กล่าวเปิดการประชุม โดยมีนายเฉลิมชัยร่วมดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระต่างๆ เริ่มจากรายงานรายได้ประจำปีของพรรค ซึ่งนายชนะ รุ่งแสง สมาชิกพรรค ได้ถามในที่ประชุมถึงการทำงานของพรรคในตอนนี้ว่ามีคนดีคนเก่งของพรรคปฏิบัติในหน้าที่ใดๆ อย่างภาคภูมิสมเกียรติมากน้อยเพียงใด
นายจุรินทร์ตอบว่า ปีที่ผ่านมาเราผ่านการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2561 ผลการเลือกตั้งที่ปรากฏว่าได้ ส.ส.มา 52 คน ประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.ลำดับ 5 ดังนั้น หลังการเลือกตั้งการที่พรรคจะตัดสินใจดำเนินการทางเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมมีข้อจำกัดที่แตกต่างไปจากเดิมเหมือนที่เคยมี ส.ส.ถึง 160 คน ข้อจำกัดคือถ้าประสงค์จะเป็นรัฐบาล โอกาสที่เป็นแกนนำจัดตั้งยากเพราะเสียงไม่มีมากพอ ขณะเดียวกัน ถ้าประสงค์ไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านก็ไม่สามารถไปอยู่สถานะของความเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาได้อีกเหมือนที่เคยเป็น แต่ทั้งหมดก็ใช่ว่าในอนาคต ปชป.จะโตต่อไปอีกไม่ได้ ตยังมั่นใจว่าจะโตต่อไปได้อีกในวันข้างหน้า แต่อย่างใดก็ตามนอกเหนือจากอุดมการณ์ยังต้องมีผลงาน และความเป็นเอกภาพ สำหรับอุดมการณ์มีคนถามอยู่ว่าระหว่างนี้เรายังมีอุดมการณ์อยู่หรือไม่ ในฐานะหัวหน้าพรรคขอตอบแทนทุกคนว่ามี เพราะมันคือรากแก้วของความเป็นเราชาวประชาธิปัตย์ ถ้าไม่มี ปชป.ก็ไม่ต่างจากต้นไม้ไร้ราก อุดมการณ์ 3 ข้อที่เราเชื่อมั่นคือ หนึ่งระบบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สองอุดมการณ์ความซื่อสัจย์สุจริตที่ยึดมั่นมาตลอด 70 กว่าปีและดำรงอยู่ในวันนี้และวันข้างหน้า ไม่อย่างนั้นไม่ใช่ประชาธิปัตย์ และสามอุดมการณ์แห่งการมุ่งมั่นการรับใช้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และคนไทยทุกคนเป็นที่ตั้ง อุดมการณ์เหล่านี้ตนไม่ได้คิด แต่บรรพบุรุษของเรากำหนดมา ตนเชื่อว่าทุกคนคงเคยจำเพลงพรรคได้ “พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ ขอรับใช้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อตรงไม่โกงไม่กิน”
แต่นอกเหลือจากอุดมการณ์แล้ว ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนยึดอุดมการณ์อย่างเดียวไม่พอ ต้องบวกด้วยคำว่าทันสมัย แต่ไม่ใช่อุดมการณ์ไม่ทันสมัย เพราะอุดมการณ์คืออุดมการณ์ เราไม่เคยเปลี่ยน แต่ที่ต้องเปลี่ยนคือความทันสมัยยิ่งขึ้น ต้องเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะ สนองโจทย์การเมืองยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยผลงานที่สำเร็จในวันข้างหน้า คือผลงานรูปธรรมที่ต้องเกิดจากการกระทำจริงไม่ใช่แค่คำพูดและเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องช่วยกันทำ พรรคมีผลงานตามที่สัญญาไว้กับประชาชนหลายเรื่อง อาทิ ตั้งกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เยียวยาราคาสินค้าเกษตรตามหลักประกันรายได้ ภายใต้แนวคิด ‘เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด ผู้ด้อยโอกาสได้รับการดูแล’ นอกจากนี้ยังต้องมีทีมสังคมทันสมัยและทีมกรุงเทพที่ต้องเตรียมการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม., ส.ก. และ ส.ข. โดยต้องมีการประเมินการทำงานของรัฐมนตรี ส.ส. และกรรมการบริหารพรรค และเดือนสิงหาคมนี้จะจัดตั้งสาขาพรรคให้เสร็จ และอีกสิบแผนงาน เช่น แผนงานขับเคลื่อนพรรคสู่องค์กรทันสมัยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และแผนการสื่อสารการเมืองเพิ่มภาพลักษณ์ใหม่ ฯลฯ
“แต่ที่ผมอยากจะพูดคือ พรรคต้องมีความเป็นเอกภาพ เพราะถ้าขาดก็ใช่ว่าเราจะนำพาพรรคไปสู่ความสำเร็จได้ง่ายดาย เพราะความไม่เป็นเอกภาพคือตัวบั่นทอนพรรคและอนาคตของพรรค และตัวบั่นทอนอนาคตของทุกคนในพรรค ทั้งนี้ นายจุรินทร์ย้ำว่าไม่ใช่เอกภาพทางความคิด แต่เมื่อแสดงความคิดเห็นแล้วทุกคนต้องเคารพ นั่นคือเอกภาพ ผมขอให้ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สร้างความเป็นเอกภาพให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างความเติบโตของพรรคต่อไปในอนาคตอย่างภาคภูมิ”
ต่อมาเป็นวาระพิจารณาแผนยุทธศาสตร์พรรค ขณะเดียวกัน นายสาธิต วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง กล่าวว่า สิ่งที่ตนอยากเติมเต็มในแผนยุทธศาสตร์ คือการนำเอาความเห็นของเพื่อน ส.ส.ที่ไปสัมมนามา บรรจุลงไปในแผนยุทธศาสตร์ของพรรคในครั้งนี้ด้วย เราได้สะท้อนความคิดเห็นต่างๆ โดยเฉพาะจากพื้นที่ เรื่องที่ตรงกันคือการประเมิน รัฐมนตรี การทำหน้าที่ของ ส.ส. ซึ่งถูกต้องและควรทำให้เป็นรูปธรรม. เพื่อให้ตอบโจทย์กับประชาชนที่สนับสนุนพรรค และผลของการประเมินควรมีการเกิดเผยให้สมาชิกรับทราบ และน่าจะรวมถึงกรรมการบริหารพรรค พร้อมทั้งประเมินความนิยมของพรรคต่อประชาชนเพื่อให้กลับมาเป็นพรรคหลักของประเทศ ซึ่งนายเฉลิมชัย กล่าวว่าตอนนี้ตนได้ดำเนินการเรื่องสำรวตความเห็นไปแล้วรอผลสรุปเพื่อจัดทำเป้าหมายที่ชัดเจนเท่านั้น
ต่อมานายอันวาร์ สาและ รองเลขาธิการ และ ส.ส.ปัตตานี ยกมือขอแสดงความเห็น โดยระบุว่าพรรคเปลี่ยนโลโก้พรรคโดยตัดพุทธภาษิตออก ทำร้ายจิตใจของสมาชิกพรรค นอกจากนี้ยังกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีแนวโน้มตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีวี่แววพลิกฟื้นในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นเพราะว่าพรรคเดินผิดทาง เปลี่ยนโอกาสเป็นวิกฤต ส่งผลให้แพ้เลือกตั้ง สูญเสียที่นั่ง ส.ส.ทุกเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่งยิ่งในพื้นที่ กทม.ที่แพ้เลือกตั้งจนเหลือศูนย์
“ผมวิเคราะห์เหตุแห่งความตกต่ำของพรรคประชาธิปัตย์ว่ามาจากประชาชนผิดหวังกับการกระทำของพรรค และพรรคไม่สมารถลบล้างข้อครหาที่เป็นตราบาปของพรรคได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีแต่พูด-เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้เพื่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระหว่างสมาชิกพรรค”
ระหว่างที่นายอันวาร์กำลังพูด นายวิรัช ร่มเย็น นายทะเบียนพรรค ลุกขึ้นประท้วงว่าประเด็นของนายอันวาร์ควรเอาไปพูดในวาระอื่นๆ แต่นายอันวาร์ยืนยันว่าสิ่งที่จะพูดเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์พรรค นายจุรินทร์จึงยอมให้พูดต่อ
ทั้งนี้ นายอันวาร์กล่าวว่า ที่ผ่านมาคนบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ดีแต่พูด หากดูเหตุการณ์ที่นายอภิสิทธิ์ อดีตหัวหน้าพรรค กล่าวก่อนการเลือกตั้งว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่กลับมีมติพรรคให้โหวตรับ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ประชาชนเสียศรัทธา ดังนั้นจึงต้องสร้างความศรัทธากลับคืนมาให้ประชาชน อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์เองเคยบอกว่านักการเมืองเลวจะปฏิรูปการเมืองก็ไม่ได้ทำ ออกรัฐธรรมนูญมาเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและเอาเปรียบทุกพรรค ภาลักษณ์ของรัฐบาลก็เห็นชัดกันอยู่ว่าดีหรือไม่ดี ทั้งกรณีของฌอน บูรณะหิรัญ และม็อบเยาวชน หรือแม้กระทั่งกรณีของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เป็นประเด็นที่ต้องมาคุยกันในพรรคว่าประชาชนรู้สึกอย่างไร และแสดงให้เห็นว่าพรรคไม่ละเลย พรรคพร้อมอยู่เคียวข้างประชาชน พรรคเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เราได้ทำหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตยแล้วหรือไม่ หรือว่าพรรคทำตามสั่ง เดิมพรรคก็ตกต่ำอยู่แล้ว แต่พอร่วมรัฐบาลแล้วภาพลักษณ์จะเป็นอย่างไรต่อ
นายอันวาร์กล่าวว่า หลังจากที่ตนออกมาพูดเรื่องพรรค มีสมาชิกบางคนมาถามว่าอยากเป็นรัฐมนตรีหรือ ซึ่งตนประกาศว่าไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้นใน ครม. ไม่ต้องกังวลว่าจะแย่งของใคร
“มีข่าวลือว่าที่ผมอยากเสนอเปิดประชุมพรรคเพราะต้องการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องปัญญาอ่อน ผมไม่ใช่คนชั่ว เหมือนกับคนที่เอามาพูด พวกนั้นเป็นคนที่เก่งแต่การนินทาลับหลัง แต่ผมต้องการไม่ให้พรรคเลือดไหล คนเก่งออกไปมากกว่านี้ ทุกวันนี้หลายคนรู้ว่าพรรคตกต่ำ แต่ไม่เคยเสนอทางแก้ ใครออกมาเสนอก็โดนใส่ร้าย”
นอกจากนี้ นายอันวาร์ยังขึ้นภาพสไลด์เป็นภาพนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกำลังคุยโทรศัพท์ พร้อมกับคำว่า ประชาธิปัตย์รับใบสั่งใครไม่ให้ตั้งวิลาศ (จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.) ร่วมเป็น กมธ.ตรวจสอบการก่อสร้างสภาแห่งใหม่ ที่ก่อนหน้าที่พรรคมีมติแต่งตั้ง แต่วันรุ่งขึ้นกลับเปลี่ยนตัว ทำให้ต้องตั้งข้อสงสัยว่าพรรครับคำสั่งใคร เคยมีคนมีข่าวลือว่ามีเงินตกหล่นใต้สภา 500 ล้านบาทจริงหรือไม่ ซึ่งภาพประกบอการพูดช่วงนี้เป็นภาพนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมตรี ซึ่งเป็นทายาทเจ้าของบริษัท ซิโน-ไทย คู่สัญญาในการก่อสร้างรัฐสภา
ขณะเดียวกัน นายอันวาร์ยกตัวอย่างผลการเลือกตั้งทั่วประเทศจะเห็นว่ามีสัดส่วน ส.ส.ลดไปมาก โดยเฉพาะภาคใต้ 50 เขต ได้เพียง 22 ที่นั่งซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่น กรุงเทพมหานครก็สูญพันธุ์ นอกจากนี้ยังย้ำว่ารัฐมนตรีของพรรคทำงานเต็มที่แต่ไม่มีกระแส ประเด็นหน้ากากอนามัย และการสินค้าขาดตลาดช่วงโควิดไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน กระทรวง พม. ในขณะที่พรรคล้มเหลว ตกต่ำในช่วงการเลือกตั้ง แต่นายจุติ ไกรฤกษ์ อดีตเลขาธิการพรรค กลับได้เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่ภาคเหนือได้เพียงที่นั่งเดียว ควรกลับเป็นคนนั้นหรือไม่ที่ได้ตำแหน่ง กระทรวง สธ. มีหลายคนบอกว่าทำงานเหมือนข้าราชการประจำ แม้จะจัดการเรื่องโควิดได้ดี แต่ต้องป้องกันไม่ให้คนป่วยและต้องเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น กระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีช่วยไม่มีพื้นที่ เพราะรัฐมนตรีแอ็กชันแรง ทั้งที่นายถาวร เสนเนียม ก็ทำงานแต่ไม่มีกระแส กระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วย มท. ทำโพลก่อนการเลือกตั้งมาว่าตนไม่ผ่าน และลงสมัครเขตเลือกตั้งไม่ได้ และกรณีนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับอีกหลายคน ซึ่งเป็นการทำโพลเพื่อคัดเลือกคนมาลงสมัครรับเลือกตั้งผิด เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พรรคแพ้การเลือกตั้ง ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยที่ถูกยุบแล้วยุบอีก แต่ก็ยังชนะการเลือกตั้ง เราต้องดูว่าเขามีอะไร สิ่งสำคัญคือพรรคเพื่อไทยมีแรงศรัทธาที่ประชาชนกลับมเลือกอีก หรือแม้แต่พรรคก้าวไกลที่เพิ่งมาใหม่ก็ยังมีคนไปเลือก
ขณะที่นายจุรินทร์แย้งว่า นายอันวาร์เป็น ส.ส. และรองเลขาธิการพรรค เวลาพูดอะไรต้องใช้ดุลพินิจ ไม่ควรพาดพิงพรรคอื่นหรือคนอื่น ต้องไตร่ตรองว่าควรหรือไม่ควร แต่นายอันวาร์ยืนยันว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นไปตามข่าว และไม่ใช่จงใจใส่ร้ายใคร
จากนั้นนายอันวาร์ได้ขึ้นภาพสไลด์คำว่า “พรรคประชาธิปัตย์ควรแก้ที่คน ไม่ใช่แก้ที่โลโก้” พร้อมกล่าวต่อว่า ต้องทำให้พรรคประชาธิปัตย์หวังและพึ่งได้ พรรคต้องยึดมั่นในอุดนการณ์ที่บรรพบุรุษให้ไว้อย่างเคร่งครัด ยึดมั่นสัญญากับประชาชนและยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
นายอันวาร์กล่าวอีกว่า ถ้าพรรคจะเติบโตได้ต้องมีเนื้อหา และการสื่อสารที่เข้าถึง ตอนนี้ประชาชนกำลังตระหนกว่าตนเองมีอำนาจเพียงใด แต่ขณะเดียวกัน ถ้าวันหนึ่งประชาชนหันหลังให้เรา เราก็ไม่มีอำนาจนั้น เราต้องแก้ไขที่ปัญหาและความเจ็บปวดของประชาชนให้ถูกจุด คำว่าประชาธิปัตย์ หมายถึงประชาชนคงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย ดังนั้น เราต้องคงสิ่งนี้ไว้ อำนาจอธิปไตย คืออำนาจของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
ขณะที่ระหว่างการแสดงความเห็นของนายอันวาร์ ส.ส.หลายคนพยายามทักท้วงไม่ให้อภิปราย อาทิ นายชัยชนะ เดชเดโช และนายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ประท้วงว่าสิ่งที่พูดไม่อยู่ในประเด็น และยังมีสมาชิกพรรคอีกหลายคนลุกขึ้นประท้วงปกป้องหัวหน้าพรรค และเชื่อมั่นว่าพรรคจะกลับมายิ่งใหญ่ตามแนวทางของหัวหน้าพรรค และยืนยันว่าภาพลักษณ์ของพรรคไม่ได้ตกต่ำ แต่ตรงข้ามคือดีขึ้นทั้งในมุมมองของชาวภาคเหนือและอีสาน
นายเฉลิมชัยกล่าวตอบว่า เรื่องที่บอกว่าคนกลัวว่านายอันวาร์ต้องการเป็นรัฐมนตรี ตนขอชี้แจงว่าคุยกับ ส.ส.หลายคนไม่มีใครกลัวเรื่องนี้ ตนยอมรับว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่เราต้องรับมาปรับปรุง กรรมการบริหารพรรคพร้อมที่จะรับฟังความเห็นและพร้อมที่จะนำไปปฏิบัติ ส่วนกรณีที่บอกว่าพรรคดีแต่พูดจากที่นโยบายของนายอภิสิทธิ์ นายเฉลิมชัยบอกว่าตอนที่นายอภิสิทธิ์มีแนวทาง ทุกคนเดินตามหัวหน้า เพราะเราคือประชาธิปัตย์ เมื่อแพ้เราก็ยอมรับ และหาทางออก ไม่ใชข่ตำหนิอย่างเดียวอันนี้เรียกว่าดีแต่พูด และเมื่อประชุมกรรมการบริหารพรรคใหม่ก็มีแนวทางและเป็นไปตามกฎระเบียบของพรรค ส่วนประเด็นการเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ถ้าไม่ให้คนอื่นว่าต้องไม่ทำตัวเอง ถ้าไม่ให้คนด่าพรรคเรา เราต้องไม่ทำตัวเราเอง ประชาธิปัตย์ที่ยังยืนอยู่ได้ และเป็นจุดแข็งคือพรรคไม่มีเจ้าของที่แท้จริง ทุกคนเป็นเจ้าของพรรค ตอนนี้เรามีหน้าที่ต้องพาพรรคเดินออกไปข้างนอก
“ผมอยากให้ประชาธิปัตย์เดินไปพร้อมกันเหมือนครอบครัว คำพูดที่บอกว่าพรรคตกต่ำ ผทก็รับฟัง แต่ต้องเปิดใจให้กว้าง เปิดพใจเราให้กว้างก่อนแล้วค่อยเปิดใจคนอื่น สมมติว่าถ้าคิดว่าพรรคตกต่ำก็มาช่วยกัน แต่ผมคิดว่าพรรคไม่ตกต่ำขนาดนั้น และอยากให้ทุกคนมาร่วมเดินไปกับผมถึงจุดนั้นจุดที่ดีที่สุด ส่วนเรื่องกรรมาธิการตรวจสอบการก่อสร้างสภาล่าช้า ไม่มีใครสั่งและไม่มีใครสั่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่มีเหตุผลอย่างอื่น ผมยืนยันว่าผมสู้เต็มที่และรักษาพรรคไว้เต็มที่”
หลังนายเฉลิมชัยตอบคำถามนายอันวาร์ มีสมาชิกหลายคนที่ถูกอ้างถึงลุกขึ้นแสดงความเห็นในเชิงตำหนิการอภิปรายของนายอันวาร์ อาทิ นายธนา ชีรวินิจ อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวพาดพิงพรรคหลายกรณีว่า สิ่งที่นายอันวาร์ทำ ทำให้พรรคเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น และขอให้มาช่วยกัน ทุกครั้งที่นายอันวาร์ทำ ผลกระทบสะท้อนทั้งในพื้นที่และความรู้สึกไม่ดีที่คนมีต่อพรรคประชาธิปัตย์
นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีถูกพาดพิงว่าถูกเจ้ากระทรวงสั่งซ้ายหันขวาหันทำให้ไม่มีผลงาน โดยยืนยันว่าศักดิ์ศรีความเป็นประชาธิปไตย ไม่มีใครสั่งซ้ายหันขวาหันได้แน่นอน แต่สิ่งที่นายอันวาร์พูดจะต้องมีข้อเท็จจริงว่าสั่งซ้ายหันขวาหันเมื่อใดและเรื่องใด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการอยู่ร่วมกัน โดยใช้ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นเครื่องมือทำงานร่วมกัน และนโยบายต้องเป็นนโยบายรัฐบาล เรื่องที่ตนเองเขียนไว้ในหนังสือผลงาน 1 ปี กับคลิปผลงานส่งให้พรรคยาว 20 นาที หากทำอะไรไม่ได้เป็นไปตามนโยบาย หรือไม่มีผลงาน ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการสั่งซ้ายหันขวาหัน เป็นเรื่องความสามารถหรือไม่มีความสามารถของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการประเมินผลงานคนที่เป็นรัฐมนตรี คิดว่าผลออกมาอย่างไรก็รับได้ ไม่ว่าสอบตกหรือสอบผ่าน เพราะเอกลักษณ์ของปพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องรักษา คือรักษาความเป็นประชาธิปไตยเอาไว้