“วิษณุ” ห่วงหากเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำงานลำบาก ยอมรับสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น อาจคลายทุกล็อก ให้ชุมนุมได้-เลิกเคอร์ฟิว
วันนี้ (8 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาผ่อนคลายกิจการหรือกิจกรรมเพิ่มเติมว่า คณะทำงานกลั่นกรองจะใช้เวลาช่วง 2 สัปดาห์ของเดือนมิถุนายน เพื่อประเมินว่าจะใช้มาตรการอย่างไรต่อไป ส่วนตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนจนสิ้นเดือนจะเฝ้าติดตามสถานการณ์ หากสามารถควบคุมสถานการณ์อยู่หรือดีขึ้น อัตราการติดเชื้อคงที่ หรือหากมีการติดเชื้อก็เป็นกรณีที่ติดจากเมืองนอก และถ้าในประเทศมีตัวเลขเป็นศูนย์ และนิ่งต่อกันได้หลายวันอย่างที่ผ่านมา การจะนำไปสู่การปลดล็อกทั้งหลายโดยสิ้นเชิงก็เป็นไปได้ ขณะนี้ก็ได้เตรียมการไว้ทุกรูปแบบ คือ กรณีแรกเตรียมการที่จะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกรณีที่ 2 เตรียมการที่จะเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกรณีที่ 3 เตรียมการที่จะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่งดใช้มาตรการต่างๆ เช่น สามารถที่จะชุมนุมได้ เลิกเคอร์ฟิว ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ดี
เมื่อถามว่า หากสถานการณ์ดีเช่นนี้ การผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ก็คงจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า มองจากวันนี้ก็ใช่ แต่หากเราลองปล่อยแล้วเกิดความประมาทชะล่าใจขึ้นมาก็น่ากลัว ที่เป็นห่วงคือวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไปจะเป็นวันหมดอายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยังเป็นดีเดย์การเปิดภาคเรียน และสนามบินด้วย และในขณะนี้โรงเรียนเขาก็คิดวิธีการของเขาอยู่ ทั้งเรื่องเวลาเด็กเข้าห้องน้ำ เล่นกีฬาจะทำอย่างไร ถ้าทุกอย่างมันคุมกันได้เองเช่นนี้ก็วางใจได้ หากวันที่ 15-31 มิถุนายนปลอดภัย เราก็เชื่อว่าวันที่ 1 กรกฎาคมก็น่าจะปลอดภัย คนต่างชาติที่เข้ามาก็ไม่ได้เดินไปโรงเรียนอยู่แล้ว โดยอีก 3-4 วันก็จะเป็นวันหยุดยาว ทำให้ต้องนำทุกอย่างมาเป็นปัจจัยคิดซึ่งยังไม่มีคำตอบในเวลานี้
เมื่อถามว่า มีแนวโน้มจะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มเติมหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า มีทุกทางอย่างที่ตนบอก พอไปดู พ.ร.บ.โรคติดต่อแล้วหลายเรื่องไม่สามารถที่จะบริหารจัดการเหมือนอย่างการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้เลย ทั้งนี้ พนักงาน เจ้าหน้าที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธณาณสุขตั้งขึ้นมาไม่สามารถที่จะบูรณาการทหารและพลเรือนเข้ามาได้ แค่การนำคนลงจากเครื่องเข้ามาแล้วนำไปในสถานกักกันของรัฐ สมมติว่าเป็นพื้นที่ค่ายทหาร หากภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถรับช่วงต่อบูรณาการทำงานกันได้ แต่ยังนึกไม่ออกว่าภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อจะทำอย่างไร เพราะตามกฎหมายนี้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด สมมติว่าไปสัตหีบก็ต้องเริ่มต้นที่ผู้ว่าฯ กทม. ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ต้องออกคำสั่งเป็นทอดๆ ไปถึงสัตหีบ ค่าใช้จ่ายใครจะเป็นคนดูแล ทุกวันนี้คือรัฐ เพราะรัฐเป็นคนปิด หรือกรณีที่ผู้โดยสารนั่งเครื่องบินมาแล้วเกิดการติดเชื้อกันมาก สุวรรณภูมิที่อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ กล้าปิดสุวรรณภูมิหรือไม่ ไม่ให้สายการทั้งหมดลง แต่ทุกวันนี้ที่สั่งได้เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
เมื่อถามว่า กรณีจะเปิดให้ต่างชาติเข้ามาแบบประเทศต่อประเทศ จะมีการพิจารณาเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เพราะเรามีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงมีการปิดสนามบิน เป็นเหตุเป็นผลต่อเนื่องกัน โดยใช้ พ.ร.บ.การเดินอากาศ ต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงปิดสนามบิน ถ้าเราไม่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วไปปิดสนามบิน จะอธิบายกับสายการบินไม่ได้ วันนี้เราให้เหตุผลว่าเป็นเพราะการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจากเหตุโควิด-19 และบางอย่างแม้ไม่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็สามารถดำเนินตามมา