เดือดไม่หยุด กรณี “ทหารอียิปต์-ลูกอุปทูต” ติดโควิด-19 ได้รับยกเว้น “ลุงไพศาล” เผยเงื่อนงำน่าสงสัย “ดร.เสรี” จวก พวก “ไล่นายกฯ” ปั่นกระแส “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ร่อน จม.ถาม “ทูตอียิปต์” รับผิดชอบอย่างไร?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 ก.ค. 63) เฟซบุ๊ก ไพศาล พืชมงคล ของ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีทหารอียิปต์ และบุตรสาวของอุปทูตซูดานประจำประเทศไทย เดินทางเข้าประเทศไทย โดยได้รับข้อยกเว้นตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 ว่า
“เรื่องที่น่าสังเกต เกี่ยวกับกรณีทหารอียิปต์ และ คณะทูตซูดาน นำเชื้อโควิดมาประเทศไทย (ยังไม่พบว่าติดใคร)!!!!
1. กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยประสานงานหลักของเรื่องนี้!!! เจ๋งมากนะลุงดอน!!
2. สำหรับทหารอียิปต์นั้น เมื่อมาไทยแล้วบินไปจีนที่นครเฉิงตู มณฑลเสฉวน แต่ต้องบินกลับในวันเดียวกัน!!!
มีข่าวว่าจีนจะให้ลงจากเครื่องบินก็ต่อเมื่อยอมรับการกักตรวจอย่างเข้มงวด เพราะจีนเกรงว่าจะมีการนำเชื้อไปเผยแพร่ เพราะแบบนี้จีนเคยเจอมาแล้วที่อู่ฮั่น ที่ติดเชื้อเพราะคณะกีฬาทหารสหรัฐฯ คณะทหารอียิปต์ไม่ยอม จีนจึงไม่ยอมด้วย จึงต้องบินกลับมาอู่ตะเภาในวันเดียวกัน แล้วออกไปพักที่โรงแรม
3. คณะทูตซูดาน ติดเชื้อมากันหลายคน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจพบผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันเดินทางเข้ามาประเทศไทย แต่ปล่อยออกไปพัก ที่คอนโด และไม่มีการแถลงข่าวให้คนไทยทราบปล่อยให้ไปเดินหลายที่ แบบเดียวกับผู้หญิงเกาหลีที่เป็นคนแพร่เชื้อระบาดเป็นข่าวดังมาแล้ว เพิ่งมาเปิดเผยข่าวเมื่อวานว่า ในคณะทั้งสองคณะมีผู้ติดเชื้อ จึงปั่นป่วนตกใจกัน ทั้งเมือง
เรื่องนี้ จึงไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ และควรตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น มิฉะนั้น ก็จะสูญเสียความเชื่อมั่น อย่างร้ายแรง
ยิ่งมาพูดกันว่า เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ก็จะพิจารณาว่าจะต่ออายุกฎหมายฉุกเฉินหรือไม่ ในวันที่ 17 นี้ ก็ไปกันใหญ่นะครับ!!!
ขออานุภาพแห่งรัตนปริตต์ ที่สมเด็จพระสังฆราชทรงรับอาราธนาและเจริญแล้ว ได้คุ้มครองป้องกันพระราชอาณาจักรและอาณาประชาราษฎรผู้น่าสงสารของประเทศนี้ ให้มีความสวัสดี จากสรรพอุบาทว์ครั้งนี้ด้วยเถิด”
ขณะที่ เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตอียิปต์ ประจำประเทศไทย
“เรียน เอกอัครราชทูตอียิปต์
ไทยกับอียิปต์มีความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีต่อกันมานาน และมีการถ้อยทีถ้อยปฏิบัติที่ดีต่อกัน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากทหารอียิปต์ที่บินแวะพักที่ระยอง และฝ่าฝืนมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดของรัฐบาลไทย เป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศยอมรับไม่ได้
ท่านจะเห็นได้จากปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ทั้งในสื่อสาธารณะและสื่อโซเชียล ที่มีต่อเหตุการณ์นี้ เป็นด้านลบเกือบทั้งหมด และอาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและของประชาชนของทั้งสองประเทศ
เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากท่านจะได้เน้นย้ำเตือนต่อคนของท่านที่เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงเวลาอย่างนี้ ว่าอะไรทำไม่ได้ และต้องปฏิบัติตัวอย่างไรตามกฎระเบียบที่ทางการไทยได้ประกาศ ซึ่งการที่ประเทศไทยปลอดเชื้อโควิดจากภายในมาประเทศมาได้ถึง 50 วัน เนื่องจากคนไทยเคารพและปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ของ ศบค.อย่างเคร่งครัด
คำขอโทษ เสียใจในแถลงการณ์ของสถานเอกอัครราชทูตอียิปต์ เราขอรับไว้ แต่ให้ท่านตระหนักไว้ว่า คนของท่านได้สร้างปัญหา ความวุ่นวาย ความเสียหายอย่างมากต่อคนจังหวัดระยอง ที่ต้องปิดโรงเรียน โรงแรม ร้านค้า และหากมีคนไทยต้องติดเชื้อโควิดจากเหตุการณ์นี้ ยังไม่สามารถประเมินได้เลยว่า จะก่อให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใดทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยา ความเสียหายเหล่านี้คนไทยจะเรียกร้องได้จากใคร สถานเอกอัครราชทูต หรือรัฐบาลอียิปต์จะรับผิดชอบอย่างไร”
ด้าน ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่องเดียวกันนี้ ว่า
“โกรธได้แต่อย่าเกลียด เมื่ออารมณ์โกรธลดลง หาข้อมูลทำความเข้าใจ ระวังอย่าเชื่อ Fake news ของฝ่ายที่ต้องการซ้ำเติม ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง แต่อย่าวิตกเกินไปนะคะ
บางคนที่ด่าอย่างเมามันในตอนนี้ อาจจะเป็นคนที่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น มีมูลให้ด่ารัฐบาลได้ แล้วต้องจบด้วยการบอกว่า นายกฯต้องลาออก มันเข้าเป้าแล้วสินะ คอยมานานแล้วจ้ะ”
และที่น่าสนใจอย่างมาก วานนี้ เฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ของ นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความหัวข้อ “กม.ระหว่างประเทศ มีความละเอียดอ่อนที่คนไทยยังไม่ทราบ”
เนื้อหาระบุว่า “กรณีที่เกิดขึ้น นักการทูตต้องกักตัวเองตามระเบียบของรัฐผู้รับ (ในที่นี้คือไทย) ภายใต้สถานการณ์โควิด ก็ถูกต้องแล้ว นักการทูตต้องทำตามระเบียบของรัฐผู้รับด้วย
คราวนี้ว่าถึงสถานที่กักตัว ในทางการทูต สถานทูตและที่พักของคณะทูตทุกคนอยู่ภายใต้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่รัฐผู้รับต้องดูแลให้การคุ้มกันและอารักขา
กรณีการ SQ เรามีข้อตกลงแต่แรกหรือเปล่าว่า นักการทูตต่างชาติต้องเข้าไป SQ ในสถานที่ที่รัฐผู้รับจัดให้. ?
ถ้าเราไม่ได้เขียนระบุชัดแจ้ง เขาก็เลี่ยงได้ว่า เขาขอ SQ ในที่พักของเขา กรณีเด็กซูดาน ถ้าเขาถือว่าเขา SQ ในที่พักของเขาที่เป็นคอนโด เพราะเราไม่ได้เขียนไว้ชัดเจน เขาก็ไม่ผิด.
แต่ที่เราเดือดร้อนเพราะเด็กซูดานดันติดเชื้อ ซึ่งก็เปรียบเหมือนคนไทยที่กลับมาจากต่างประเทศอยู่ใน SQ แล้วติดเชื้อ
แต่ต่างกันที่คนไทยติดเชื้อใน SQ ที่ไทยกำหนด ส่วนซูดานติดเชื้อใน SQ ที่เป็นที่พักของเขาซึ่งได้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน
ดังนั้น ล่าสุดข่าวว่า ศบค.ออกกฎเข้มว่า นักการทูตต้องกักตัวก็ขอให้ระบุไปเลยว่า ต้องเป็น SQ ที่ไทยเรากำหนด เอาให้ชัดๆไปเลย
สำหรับเรื่องเที่ยวบินพิเศษนั้น ทุกประเทศเขาเปิดช่องไว้หมดครับ เผื่อกรณีฉุกเฉิน และต้องร้องขอ diplomatic clearance เป็นกรณีๆ ไป
เครื่องบินพิเศษที่ส่วนใหญ่เป็นเครื่องทหาร หรือเครื่องเช่าจากสายการบิน จะบินตามเส้นทางบินปกติของเครื่องบินพาณิชย์ไม่ได้ เพราะบางประเทศเขาห้ามเครื่องบินทหารบินผ่าน
ดังนั้น เครื่องบินทหารบางครั้งต้องบินอ้อม ซึ่งต้องลงจอดเป็นระยะๆ เพื่อเติมน้ำมัน
เราจะไปจำกัดสิทธิ์หรือตัดสิทธิ์เครื่องบินเที่ยวบินพิเศษคนอื่นก็เท่ากับเราตัดสิทธิ์ของเราเองด้วย ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉิน เราก็ซวย
สมมติเราต้องส่งเที่ยวบินพิเศษไปรับคนไทยที่ซูดาน (ซึ่งตอนนี้มีคนไทยไปทำงานที่ซูดาน เช่น ทหารไทยที่ไปปฏิบัติภารกิจภายใต้ UN เป็นต้น) และเครื่องอาจต้องแวะจอดที่อียิปต์ ถ้าเราไปตัดสิทธิ์เขา เขาก็ตัดสิทธิ์เราห้ามบินผ่านหรือห้ามจอดเช่นกัน
ดังนั้น ที่ผมออกมาเตือน คือ เราคนไทยด่ากันผิดประเด็น ไปด่า ผบ.ทบ. ด่าหมอทวีศิลป์ ด่า ศบค. กล่าวหาว่า รัฐให้สิทธิพิเศษปล่อยพวกนี้ออกมาเพ่นพ่าน เลือกปฏิบัติให้สิทธิพิเศษ Super VIP ซึ่งมันไม่ใช่ !!!
ศบค.เขามีกฎออกมาแล้วต้อง SQ แต่อาจมีช่องโหว่ที่นึกไม่ถึง ก็ปิดช่องโหว่นั้นซะ ออกระเบียบให้ชัด ระบุไปเลยว่าต้องอยู่ในที่ที่เราจัดให้เท่านั้น
ส่วนเที่ยวบินพิเศษ ถ้าขอบินผ่าน แวะเติมน้ำมัน เราก็อาจออกกฎให้เขา seal ตัวเองอยู่บนเครื่อง หรือภายใต้สถานที่จำกัดที่เรากำหนด เมื่อเข้ามาแล้วต้องรีบออกไป ห้ามเข้าเมือง อะไรแบบนี้เป็นต้น
ผมออกมาให้สติเตือนก็ถูกต่อว่า หาว่าปกป้องคนทำผิด !? ใครทำผิดครับ !?
เราทำถูกต้องมาตลอด ทุกอย่างเป็นไปตามสากลกฎเกณฑ์ทุกอย่าง
แต่พอเกิดเหตุ แทนที่จะมีสติกลับด่ากราด บางคนแรงถึงขนาดให้ขับไล่ออกนอกประเทศ ห้ามเที่ยวบินพิเศษเข้ามา ไปกันใหญ่เลย
หวังว่าคงจะพอเข้าใจกันบ้างนะครับ”
ดูเหมือน ทั้งหลายทั้งปวง คำตอบอยู่ที่โพสต์ของ ท่านทูตนริศโรจน์ เฟื่องระบิล แทบทั้งหมด หลังจากแต่ละคนแต่ละความคิดเห็น ต่างก็ใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าข้อเท็จจริง และเหตุผล จนอาจกลายเป็นการด่าผิดคน หรือวิพากษ์วิจารณ์ผิดเป้า
แน่นอน, สิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมีช่องโหว่ เพราะไม่เช่นนั้น ก็คงไม่เกิดขึ้น ประเด็นอยู่ที่ว่า รัฐบาลและฝ่ายรับผิดชอบเห็นช่องโหว่แล้วหรือยัง เมื่อเห็นแล้ว จะอุดอย่างไร อุดได้หรือไม่ ต่างหากที่หลังจากออกมารับผิดชอบแล้ว จะต้องกลับไปทำงานอย่างเข้มแข็งต่อไป
ส่วนที่มันผ่านไปแล้ว และจะต้องแก้ปัญหาก็ว่ากันไปตาม ปัญหาที่เกิดขึ้น เชื่อว่า ความจริงใจและการทำความเข้าใจ จะช่วยให้ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับได้ แม้ว่าจะมีกระแสปั่นป่วนไม่หยุด จะเอานายกฯลาออกให้ได้ ก็คงทำได้แค่ได้ระบายความคับแค้นมานานเท่านั้น หรือไม่จริง?