“เศรษฐพงค์” แนะ กสทช.วางนโยบายเพื่อรองรับกิจการในอนาคต เตือนความสำเร็จ 5G มองแค่รายได้ประมูลคลื่นไม่ได้ มองภาพรวมการบริหารด้วย ห่วงประมูลความถี่ 3.5 GHz ไม่ลื่นแนะเตรียมแผนให้พร้อม “ไตรรัตน์” แจง กสทช.เตรียมพร้อมประมูลได้ในปีหน้า พร้อมหาแนวทางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
วันนี้ (8 ก.ค.) ที่รัฐสภา ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณารับทราบรายงานผลปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการโทรทัศน์ กิจการกระจายเสียง และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประจำปี 2562 พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมอภิปรายตอนหนึ่งว่า การดำเนินงานของ กสทช.มีผลต่อเนื่องไปยังอนาคต ในบทสรุปที่ตนจะขอเน้น คือ การกำหนดนโยบายการบริหารคลื่นความถี่ให้เพียงพอต่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินการกิจการดาวเทียมเพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความเกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศ วันนี้ทาง กสทช.มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารดาวเทียมสื่อสาร ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่จะเข้าสู่กิจการอวกาศ ทาง กสทช.ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการพัฒนากิจการอวกาศ โดยการสนับสนุนการสร้างดาวเทียมขนาดเล็ก ซึ่งตนคิดว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และควรดำเนินการต่อไป เนื่องจากกิจการอวกาศนั้นเป็นสิ่งใหม่ของโลก ในประเทศไทยยังไม่ได้มีการเตรียมการเรื่องนี้อย่างชัดเจน ซึ่งคนรุ่นใหม่จะต้องเตรียมบุคคลากร รองรับอาชีพใหม่ๆ
“ผมคิดว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่กิจการอวกาศนั้น ทาง กสทช.ควรจะต้องมีการเตรียมงบประมาณ สนับสนุนการพัฒนา การวิจัย การสร้างสิ่งใหม่ๆ ในด้านอุตสาหกรรมใหม่นี้ ผมขอฝากทาง กสทช.ให้ช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ในปีต่อไปด้วย” พ.อ.เศรษฐพงค์กล่าว
พ.อ.เศรษฐพงค์ซึ่งเป็นอดีตรองประธาน กสทช. กล่าวต่อถึงประเด็นการขับเคลื่อนเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทยด้วยว่า การประมูลคลื่นความถี่ 5G ได้สำเร็จไปแล้วและมีรายได้เข้ารัฐมหาศาลก็จริง แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นการบ่งบอกถึงความสำเร็จในการบริหารคลื่นความถี่ของ กสทช. เพราะความสำเร็จที่แท้จริงนั้นคือการสร้างโครงข่ายไปสู่ธุรกิจไปสู่ประชาชน ให้ประชาชนได้รับประโยชน์ที่แท้จริง ดังนั้น กสทช.ยังต้องติดตามผลการประมูลคลื่นความถี่ ว่ามีการวางโครงข่ายในทุกคลื่นความถี่ เนื่องจากการประมูลที่ผ่านมานั้นมีผู้ประกอบการที่เป็นรัฐวิสาหกิจถึง 2 บริษัท ทั้งบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 บริษัทได้ใบอนุญาตจาก กสทช.ด้วยการประมูล ดังนั้น กสทช.ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ในการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะงานของรัฐวิสาหกิจอาจจะไม่มีความคล่องตัวเหมือนบริษัทเอกชน ที่กสทช. เคยปฏิสัมพันธ์มาก่อน อย่างคลื่น 700 MHz ที่ CAT ได้ไป ก็ยังไม่เห็นแผนงานที่ชัดเจน ตนจึงของฝากทาง กสทช.ช่วยทำให้ระบบนิเวศของคลื่นมีความเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์
“ในเรื่องการประมูลคลื่นความถี่ รัฐบาลมองถึงความสำคัญของรายได้จากการประมูล แต่ตามที่ผมได้พูดไปแล้วว่า ความสำเร็จนั้นจะต้องเป็นเรื่องของมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม คุณภาพชีวิตของประชาชน ดังนั้น กสทช.จะต้องมุ่งเน้นในเรื่องการบริหารคลื่นความถี่ และอยากให้เตรียมการ ศึกษาในภาพจริงเพราะระบบ C Band หรือย่านความถี่ 3.5 GHz กำลังจะหมดสัญญาในปี 2564 อยากให้ กสทช.เตรียมพร้อมว่าจะมีการประมูลอย่างไร และจะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างไร นี่คือภารกิจของ กสทช. ที่สำคัญในการดำเนินการในปีต่อๆ ไป” พ.อ.เศรษฐพงค์กล่าว
ด้านนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. สายงานยุทธศาสตร์และกิจการองค์กร รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวชี้แจงว่า ขอขอบคุณในคำแนะนำต่อ กสทช.เรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่ที่เกี่ยวกับดาวเทียมคลื่น 3500 MHz ขณะนี้เราได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อติดตามกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะ 5G ซึ่งมี 3 ข้อที่เราจะทำ คือ 1. ในด้านเทคนิคคือการศึกษาคลื่น 3500 MHz จะเป็นการรบกวนกันระหว่างกิจการดาวเทียมกับกิจการโทรคมนาคมหรือไม่ ต้องใช้การ์ดแบนด์เท่าไหร่ ตรงนี้กำลังศึกษากันอยู่ 2. การเตรียมสำรวจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับจานดำที่มีผลต่อประชาชนจะมีทั้งหมดกี่ครัวเรือน และจะต้องมีการเยียวยาอย่างไร 3. การเตรียมการเรื่องการประมูลคลื่น 3500 MHz กำลังร่างหลักเกณฑ์และประกาศต่างๆ ให้ครบถ้วนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการใช้คลื่นความถี่ คณะทำงานคาดว่าแผนดังกล่าวและผลการดำเนินงานจะเสนอ กสทช.ได้ภายในสิ้นปี และจะเริ่มประมูลได้ในปีหน้า