“พิจารณ์” จี้ กห.เปิดรายได้ธุรกิจกองทัพ หลังบี้มา 202 วัน ยังเงียบ ขอชะลอโครงการซื้ออาวุธ-ลดหนี้ผูกพัน เอามาฟื้น ศก. รมช.กห. แจงงบกองทัพ ลดลง 8.2 พัน ล.ชี้ ยุทโธปกรณ์-อากาศยานเก่า จำเป็นจัดหา เดินหน้ากองทัพปรับลดกำลังพล
วันนี้ (1 ก.ค.) ที่ประชุมสภา นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตอนนี้ประเทศกำลังเจอกับภัยคุกคามทางโรคระบาด ไม่ใช่ภัยคุกคามทางทหาร รัฐบาลจำเป็นต้องปรับความคิดเรื่องความมั่นคงจากทางทหารเป็นความมั่นคงในชีวิตของพี่น้องประชาชน การจัดทำงบประมาณต้องปรับงบกองทัพลง และเพื่อให้มีงบประมาณรองรับปัญหาเศรษฐกิจ สาธารณสุข และเยียวยาประชาชนมากขึ้น และเมื่อมาดูงบประมาณกระทรวงกลาโหม ตนขอเรียกว่า “งบ ลวง พราง” ซึ่งมีข้อสังเกต 3 ข้อ คือ 1. ลวงว่าลดแต่ไม่ได้ลด จากงบประมาณของกระทรวง 2.23 แสนล้านบาท เหมือนกับสัดส่วนของปีก่อนๆ แต่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2557 แม้ว่าปีนี้จะดูเหมือนว่าลดลงไป 8,200 ล้านบาท ขณะเดียวกัน เมื่อไปดูที่การโอนงบประมาณจากปี 2563 จำนวน 17,700 ล้านบาท เหลืองบประมาณของกระทรวงกลาโหมเดิมเหลือ 2.13 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับงบประมาณปี 2564 ก็จะเห็นว่าได้เพิ่มขึ้นจากงบประมาณที่ใช้ไปเมื่อปีที่แล้วหลักหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน งบประมาณเรือดำน้ำ งบซื้อเครื่องบินของกองทัพอากาศ ก็ยังมีอยู่ ทั้งที่ถูกตัดงบโอนคืนไปเมื่อปีที่แล้ว
2. การตัดงบอำพราง กระทรวงกลาโหมก่อหนี้ผูกพันข้ามปีถึง 173,144 ล้านบาท หรือ 77.46% ของงบประมาณ ขณะที่ทั้งรัฐบาลมีหนี้ผูกพัน 1,199,000 ล้านบาท หรือเพียง 36.33% ซึ่งน้อยกว่าเท่าตัว นั่นหมายความว่า รัฐบาลไหนเข้ามาก็ต้องใช้หนี้ส่วนนี้ ซึ่งงบผูกพันเหล่านี้ยังเบียดบังโครงการที่จำเป็น ซึ่งงบผูกพันเหล่านี้มี 22 โครงการเป็นงบการจัดซื้ออาวุธ และ 2 โครงการบำรุงและซ่อมอากาศยาน ซึ่งควรชะลอออกไปก่อน นอกจากนี้ ยังมี 3. เงินนอกงบประมาณที่ไม่ได้รายงานจากรายได้ที่เป็นธุรกิจของกองทัพ เช่น ปั๊มน้ำมัน, สนามม้า, สนามมวย ฯลฯ ทั้งที่เคยบอกว่าจะปฏิรูปกองทัพ แต่ไม่น้ำเงินจำนวนนี้ขึ้นมาบนโต๊ะ ทำธุรกิจโดยไม่เปิดเผยรายได้ งบการเงิน หรือผลการตอบแทนให้ใคร หรือว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย มีการจัดสรรแบ่งปันกัน เหมือนกันในการชั้นกรรมาธิการเมื่อปี 2563 ถามเกี่ยวกับธุรกิจกองทัพก็ไม่มีคำตอบ ตนเคยถามนายกรัฐมนตรีในกระทู้ถามสดเมื่อเดือนธันวาคม รัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหมก็ตอบเพียงว่าอยู่ในกระบวนการรวบรวมข้อมูลแต่วันนี้ผ่านมา 202 วันแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบ
และจาก 3 ข้อสังเกตในเบื้องต้น นำมาสู่ 3 ข้อเสนอ คือ 1. ตัดลดงบประมาณ 11,840 ล้านบาท จากการะชะลอ 6 โครงการผูกพันใหม่ 22 โครงการซื้ออาวุธใหม่ และ 2 โครงการซ่อมบำรุงอากาศยาน 2. ลดหนี้ผูกพันให้เหลือไม่เกิน 30% ของงบประมาณประจำปี 3. เปิดเผยผลการดำเนินงานธุรกิจทุกอย่างของกองทัพ เพื่อให้รายได้กลับมาสมทบคลัง เพื่อไปใช้จ่ายในด้านที่จำเป็น แล้วค่อยทำโครงการขอมา หากมีโครงการที่จำเป็นเหมือนกระทรวงอื่นๆ
ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า บทบาทหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบด้านความมั่นคง กองทัพ มีภารกิจ 2 ประการ คือ การเตรียมกำลังกองทัพโดยต้องให้มีความพร้อมในยามปกติ เรื่องกำลังพลการฝึกศึกษา และการเตรียมพร้อมเรื่องยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมต่อการปฏิบัติภารกิจในเรื่องการใช้กำลังพล แม้ว่าปัจจุบันภัยคุกคามจะเป็นรูปแบบใหม่ กลาโหม และกองทัพทราบดีว่าสถานการณ์ในอนาคตและปัจจุบัน นอกจากภัยคุกคามและการใช้กำลังพลแล้ว ภัยคุกคามแบบใหม่ทั้งยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงภัยพิบัติ กองทัพก็เข้าไปมีบทบาทดูแลช่วยเหลือประชาชน ซึ่งในปัจจุบันมีโรคระบาดโควิด-19 กองทัพได้มีการปรับโครงสร้างให้รองรับกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่โดยมีการปรับหน่วยแพทย์กองทัพ ตั้งโรงพยาบาลสนามสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข จัดทีมแพทย์ และทีมรักษาความปลอดภัยลงไปดูแลช่วยเหลือประชาชนพร้อมกับจัดทำ state quarantine ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 32 แห่ง
ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ยังระบุอีกว่า ขออย่าลืมว่าประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับต่างประเทศ ซึ่งบางพื้นที่อาจมีปัญหาไม่ชัดเจนทั้งการทับซ้อนทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งต้องจัดกำลังพลส่วนหนึ่งให้มีความพร้อมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยการจัดเตรียมกำลังคนให้พร้อมและคล่องแคล่วต่อ ภัยคุกคามหรือสงครามแบบจำกัด โดยหากกำลังพลไม่มีความพร้อมก็อาจจะเกิดความเพรี้ยงพร้ำในการดำเนินการ
ส่วนข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจงว่า งบประมาณส่วนใหญ่ใช้เพื่อซ่อมบำรุงซึ่งยุทโธปกรณ์มีอายุใช้งานเก่ากว่า 30 ปี ส่วนอากาศยานเองที่ใช้ฝึกอยู่ก็มีอายุการใช้งาน 40-50 ปี จึงจำเป็นต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อทดแทน เนื่องจากต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของกำลังพลฝึกและครูฝึกด้วย ส่วนการจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่ จะจัดหาเท่าที่จำเป็นเท่าที่ยอมรับในเกณฑ์เสี่ยงได้ ควบคู่กับการวิจัยพัฒนาพึ่งพาตนเองและลดการนำเข้า
ส่วนงบประมาณปี 2563 ที่มีการโอนงบกว่า 1.8 พันล้านล้านบาท เพื่อไปใช้ในการแก้ปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งงบประมาณปี 2564 ลดลง 8,281 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 3.57 ของปี 2563 แล้วเรื่องงบที่ได้รับของปี 2560 นั้นก็ลดลงทุกรายการโดยเฉพาะการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีการลดลงกว่าร้อยละ 12 ด้านงบประมาณผูกพัน การจัดหายุทโธปกรณ์มีความจำเป็น ซึ่งมีระยะเวลาในการผลิตและส่งมอบไม่ต่ำกว่า 3 ปี บางอย่างต้องใช้เวลา 5-6 ปี เพราะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมไปถึงส่งกำลังวนไปเรียนรู้ ทำให้มีงบประมาณผูกพันรายจ่ายอยู่
ทั้งนี้ งบประมาณเงินนอกสวัสดิการกองทัพเกือบทุกประเทศ มีไว้ดูแลกำลังพลและครอบครัวผู้กองทัพดำเนินการเยียวยาตามระเบียบซึ่งปัจจุบันกองทัพบกร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์นำไปสู่การใช้ประโยชน์ให้เกิดสูงสุดนำรายได้เข้าประเทศและกองทัพ ในส่วนของประกันชีวิต ก็ได้มีการจัดให้กับกำลังพลครั้งตามชายแดนและประจำการตามระเบียบของกำลังพลซึ่งทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้
ส่วนศูนย์ซ่อมสร้างอากาศยานของกองทัพเรือได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการอยู่ โดยจะต้องย้ายออกเพื่อจัดสร้างรันเวย์ที่ 2 โดยให้เป็นไปตามการดำเนินการในปีแรกซึ่งกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการตามบทบาทและหน้าที่
ทั้งนี้ กองทัพและกระทรวงกลาโหม มีแผนพัฒนาและปรับโครงสร้างปัญหาโดยตลอดและต่อเนื่อง ซึ่งทุกเรื่องมีการบริหารจัดการ โดยเฉพาะกำลังพลของกระทรวงกลาโหมมีการปรับเป็น 2 ระบบ รับกำลังพลสำรองมาไว้ในสภาวะปกติ ซึ่งทำให้งบประมาณการจัดหากำลังพลและลดลง และจะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กำลังพลทหารและกำลังพลพลเรือน ซึ่งจะถือเป็นการปฏิรูปกองทัพโดยมีเป้าหมายเพื่อลดกำลังพล