วันนี้ (1 ก.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเตือนให้ระวังพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่ พร้อมแนะดูตัวอย่างรัฐบาลสิงคโปร์ชิงยุบสภา เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ เพื่อเลือกตั้งใหม่ ให้ได้รัฐบาลมีประสิทธิภาพนั้น ว่า เป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองแบบโยนหินถามทาง ที่นักการเมือง หรือพรรคการเมือง ไม่ควรมองข้าม เพราะคนอย่างนายสมคิดที่มีฐานะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องให้ยุบสภา น่าจะมีการประมวลข้อมูลทางการเมือง หรือวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองอย่างรอบคอบแล้ว ก่อนที่จะออกมาแสดงท่าทีในลักษณะเช่นนี้ ซึ่ง นายสมคิด เป็นหัวหน้ากลุ่มสี่กุมาร และที่ผ่านมา ได้ทำนโยบายหลายอย่างที่เกี่ยวกับการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 น่าจะมีการเช็กเรตติ้ง หรือวัดคะแนนนิยม หรือผลสัมฤทธิ์ในการเยียวยาให้กับประชาชนจำนวน 48 ล้านคนมาแล้ว และคงจะมีความเชื่อว่าความนิยมในเรื่องการแก้ปัญหาเยียวยาครั้งนี้ ไม่ใด้มีเฉพาะกับตัวของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น ตัวของ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เป็นผู้มีบทบาทในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ถ้าหากมีการยุบสภาเกิดขึ้นจริงตามคำแนะนำของนายสมคิด และมีการเลือกตั้งใหม่ นายสมคิด คงมีความเชื่อลึกๆ ว่า สามารถเรียกคะแนนนิยมให้กับกลุ่มสี่กุมารได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน เพราะถ้าดูจากผลสำรวจของนิด้าโพล จะพบว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในฐานะผู้มีความเหมาะสมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคะแนนความนิยมหรือเห็นใจกลุ่มสี่กุมาร ก็มีจำนวนมากเช่นกัน ถ้ามีการแยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ก็จะโกยคะแนนไปได้ไม่น้อยทีเดียว
ดังนั้น ถ้าหากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นมาในช่วงนี้ กลุ่มที่ได้ประโยชน์หรือได้เปรียบทางการเมืองมากที่สุด ก็คือตัวพลเอก ประยุทธ์ และ นายอุตตม เท่านั้น ที่ประชาชนรู้จักและกล่าวขานถึงผลงานการเยียวยาแจกเงินให้กับประชาชนมากถึง 48 ล้านคน ถ้าหากกลุ่มเป้าหมาย 48 ล้านคนนี้ แปรเป็นคะแนนในการเลือกตั้งแค่ 25% จะได้เป็นคะแนน 12 ล้านเสียง มากกว่าคะแนนของทุกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562
สำหรับตนเองนั้น พร้อมยอมรับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในทุกสถานการณ์ ชีวิตนักการเมืองทุกคน เมื่อเจอวิกฤตการยุบสภาเกิดขึ้น ก็พร้อมจะลงสนามเลือกตั้งใหม่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อประชาชน ส่วนตัวเห็นว่าชีวิตนักการเมืองไม่ต้องกลัวการยุบสภา เพราะเมื่อยุบสภาแล้ว ก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการยุบสภา ก็คือ การรัฐประหาร เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้อนาคตว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ และจะมีการสืบทอดอำนาจอีกนานแค่ไหน