หัวหน้าพรรคก้าวไกล จี้รัฐบาลเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซัดเสพติดอำนาจ อ้างไร้ป่วยโควิด-19 ในไทย 29 วันแล้ว โวยทำผู้ประกอบการขนาดเล็กไม่ได้ปลดล็อก
วันนี้ (23 มิ.ย.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นความต้องการของประชาชน การที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อ้างว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอและเร็วเกินไปที่จะนำไปพิจารณาในคณะรัฐมนตรี (ครม.) พร้อมยกให้เป็นการตัดสินใจของที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) 25 และ 26 มิ.ย.นี้ เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อยื้อเวลาออกไปและสะท้อนอาการเสพติดอำนาจเท่านั้น
นายพิธา กล่าวว่า เป็นเวลา 29 วันต่อเนื่องกันแล้ว ที่ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศ การคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แตกต่างจากกฎหมายปกติด้วยข้อกังวลสำคัญ คือ การเปิดทางอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจลิดรอนประชาชนได้โดยไม่ต้องรับผิด และทำให้มองได้ว่า รัฐบาลไม่ได้การจัดการวิกฤตโควิด-19 ตามสภาพปัญหาขึ้นจริง ไม่ได้ตัดสินใจบนเหตุผลด้านสาธารณสุขอย่างที่อ้างมาตลอด รัฐบาลเคยอ้างตามข้อมูลทางระบาดวิทยา ว่า หากมีผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ในระยะเวลาต่อเนื่องกัน 2 เท่าของระยะฟักตัวหรือ ก็คือ 28 วัน จะถือว่าไม่มีความเสี่ยงในการระบาด ย่อมต้องหมายความว่า ความจำเป็นที่จะต้องใช้กฎหมายในภาวะฉุกเฉินยุติลงแล้วอย่างสิ้นเชิง
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวย้ำให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อคำพูด เมื่อไร้เหตุฉุกเฉินแล้วต้องรีบยกเลิก ส่วนการบริหารจัดการวิกฤติโควิด-19 ยังคงดำเนินการต่อไปได้ด้วยความระมัดระวังภายใต้กฎหมายปกติ เพื่อคืนสภาวะปกติให้ประชาชน เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดเล็กจำนวนมากได้รับผลกระทบและไม่ได้รับการปลดล็อคด้วยคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การคืนภาวะปกติจะเป็นการจัดสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสุขภาพให้เดินไปด้วยกันได้
นายพิธา กล่าวว่า รัฐบาลต้องจัดการสถานการณ์มุมมองที่กว้างขึ้น สามารถนำ พ.ร.บ.โรคติดต่อ มาใช้แทนได้ ซึ่งการที่รัฐบาลยังยื้อเวลาเอาไว้นับเป็นอาการเสพติดอำนาจอย่างหนึ่งที่ชอบให้ประชาชนมาร้องขอ อ้อนวอนให้ความเมตตา สังเกตได้ว่า กว่าจะมีมาตรการคลายล็อกแต่ละครั้งประชาชนต้องมาเรียกร้องกันอย่างกว้างขวางถึงจะยอม ถึงวันนี้ยังมีผู้ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาอีกมาก โดยเฉพาะแรงงานในระบบ จึงขอถามว่ารัฐบาลจะดูแลพวกเขายังไง คุณวิษณุ ในฐานะผู้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในการหากฎหมายปกติมาแทนที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ควรจะทำงานอย่างเร่งรัดและตรงไปตรงมา ควรหยุดใช้ภาษาทางกฎหมายสร้างความสับสนให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า การคงอยู่ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังเป็นเรื่องจำเป็น
