เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าเดินเครื่องกันมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “ขบวนการล้มเจ้า” หรือพวกที่มีทัศนคติในทางลบกับสถาบันฯ โดยคนกลุ่มนี้พยายามเคลื่อนไหวสร้างกระแสกันมาอย่างต่อเนื่อง หากสังเกตจะเห็นว่า มีการสร้างเงื่อนไขมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมา โดยยกเอาเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ปี 35 ต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 52-53 ไปจนถึงการรำลึกเหตุการณ์วันครบรอบ 6 ปี ของการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 57
ล่าสุด ก็กำลังจะเดินไปสู่วันสำคัญที่พวกเขาจะยกขึ้นมาเป็นเงื่อนไขที่กำลังจะมาถึง นั่นคือ วันที่ 24 มิถุนายน เนื่องจากเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองของกลุ่ม “คณะราษฎร” ที่ยึดอำนาจของพระมหากษัตริย์ เมื่อปี 2475 ซึ่งแกนนำของพวกเขาอย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ผันตัวเองกลายสภาพมาเป็นแกนนำกลุ่มก้าวหน้า ประกาศว่าจะสานต่อภารกิจของคณะราษฎรในอดีตให้สำเร็จให้ได้
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่พวกเขาเคลื่อนไหวเป็นเรื่องเก่า หรือบรรดากลุ่มมวลชนที่สนับสนุนพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ล้วนไม่เคยสัมผัสกับบรรยากาศการต่อสู้ในอดีต หรือเป็นแค่ “นักเลงคีย์บอร์ด” ถนัดแต่บรรเลงอยู่หน้าจอคอมพ์ หรือโพสต์กับโทรศัพท์มือถือ ยังไม่พร้อมที่จะออกมาร่วมเคลื่อนไหวบนถนนการเมืองในสนามใหญ่
ประกอบกับฝ่ายที่คุมอำนาจรัฐในปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าจะมีที่มาจากการรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลับรู้จักปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามยกมาเป็นสาเหตุในการเคลื่อนไหวได้อย่างจะแจ้งมากนัก ตรงกันข้ามฝ่ายที่สร้างเงื่อนไข จนก่อให้เกิดความรำคาญ น่าเบื่อหน่ายกลับกลายเป็นพวกกลุ่มนักเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้มากกว่า
ที่ผ่านมา หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของของทั้งแกนนำ มีชื่อทั้งสองคนดังกล่าว คือ ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล กับพวกที่พลาดพลั้งสะดุดขาตัวเอง โดยเฉพาะ นายธนาธร ที่หลงลืมผิดพลาดมาตั้งแต่การถือหุ้นสื่อ จนต้องพ้นจากการเป็น ส.ส. หลังจากได้เข้าประชุมสภาผู้แทนฯ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ต่อมาก็มีเรื่องผิดพลาด “สะเพร่า” ซ้ำซาก จากการปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคของตัวเอง จนนำมาสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัวเขาและทีมงานผู้บริหารก็ต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
กล่าวได้ว่าการที่ระดับแกนนำของ “ทีมนี้” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง รวมไปถึงการถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เสียขบวนไม่น้อย เพราะอย่างน้อยก็ทำให้บทบาทในสภาฯ ที่ถือว่าจะทำให้การเคลื่อนไหวทรงพลังมากกว่า และสร้างแนวร่วมทางการเมืองได้มากกว่าต้องสะดุดลง แม้ว่าการออกมาตั้งเป็นกลุ่ม “ก้าวหน้า” อะไรนั่น แต่มาถึงเวลานี้ ก็ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้ในวงกว้าง อย่างมากก็ยังเป็นกลุ่มเดิมๆ
แม้หลายคนจะมองว่าเวลานี้มีบรรดาแนวร่วมที่เป็นพวกเด็กรุ่นใหม่แผ่กระจายมากขึ้น แต่หากมองกันตามสถานการณ์ในทุกยุคมันก็เป็นแบบนี้ มีพวกฝ่ายซ้าย มีพวกที่มีทัศนคติในทางลบต่อสถาบันฯ แต่ตราบใดที่ฝ่ายรัฐไม่สร้างเงื่อนไขให้สามารถฉกฉวยไปใช้ในการปลุกระดมให้เคลื่อนไหวได้ มันก็ยังอยู่ในวงจำกัด หรืออย่างในเวลานี้มีความพยายามปล่อยข่าวเท็จ หรือ “เฟกนิวส์” ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ตราบใดที่มันยังเป็น “ข่าวเท็จ” มันก็เท็จวันยังค่ำ อีกทั้งเมื่อมีฝ่ายเท็จหรือไม่จริง มันก็มีฝ่ายจริง นั่นคือฝ่ายที่ชี้แจง ซึ่งก็เป็นอีกกลุ่มในโลกโซเชียลฯ ที่ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายโกหกหลอกลวงอย่างไรบ้าง ก็มีปรากฏให้เห็นตลอดเวลา
เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีความพยายามประโคมข่าวเรื่องการ “อุ้ม” นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวในกรุงพนมเปญ เมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งหลายคนก็มองว่ามีความ “ทะแม่ง” พิกล นั่นคือ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในกัมพูชา อีกทั้งยังไม่รู้แน่ชัดว่ามีการอุ้มจริงหรือไม่ และหากจริง มาจากสาเหตุเรื่องอะไรกันแน่ ทุกอย่างยังคลุมเครือ และที่สำคัญ หากมีความพยายามเชื่อมโยงให้ได้ว่า ฝ่ายรัฐบาลไทยเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลัง มันก็ต้องนำไปสู่คำถามว่า หากทำจริงแล้วจะได้ ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน หรือจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรือไม่
เพราะจะว่าไปแล้ว นายวันเฉลิม คนนี้ ก่อนหน้านี้แทบไม่มีคนรู้จัก ไม่ได้มีบทบาทสำคัญที่อย่างน้อยต้องเคยได้ยินชื่อ เมื่อเทียบกับ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) แม้กระทั่ง นายจักรภพ เพ็ญแข หรือแม้แต่ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นักเคลื่อนไหวที่หลบหนีออกไปเช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากนี้ นายวันเฉลิม มีคดีติดตัวแบบ “จิ๊บจ๊อย” นั่นคือ มีความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์เท่านั้น อาจจะมีบ้างที่เป็นความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ซึ่งตอนนี้ถือว่าไม่มีความหมายไปแล้ว เพราะหมดยุคไปแล้ว ส่วนที่มีความพยายามโยงบิดเบือนให้ร้ายสถาบันฯ จากแกนนำ “ล้มเจ้า” บางคน ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ต้องหาตาม มาตรา 112 ทำให้ทุกอย่างลดระดับลงมาแบบทันควัน
แต่ล่าสุด ก็ยังมีความพยายามในแบบเดียวกันอีก นั่นคือ อ้างว่า มีพวกที่เคลื่อนไหวบางคนอยู่ในภาวะไม่ปลอดภัย เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล โดยมีการติดแฮชแท็ก เซฟคนนั้นคนนี้ อ้างว่า จะถูกอุ้มหรือไม่ปลอดภัย คำถามก็คือคนพวกนี้มีความหมายมากแค่ไหน ทั้งในทางการเมืองและทางสังคม แล้วทำไมถึงต้องไป “จัดการ” กับคนพวกนี้
เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขเวลาก็ต้องบอกว่ามาถึงเงื่อนไขสุดท้ายที่ต้องเร่งหาทางป่วนให้ได้ เพราะวันที่ 24 มิถุนายน กำลังมาถึงในอีกไม่กี่วันแล้ว แต่การโหมโรงมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำทุกทางมาตั้งแต่พยายามจุดไฟเหตุการณ์ในอดีตมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีเรื่อง “อุ้ม” กระแสก็ยังไม่มา ล่าสุด ก็พยายาม “เซฟ” คนนั้นคนนี้ อ้างว่าไม่ปลอดภัย แต่เมื่อมองตามข้อเท็จจริงแล้วมันก็คงเหลว จุดไม่ติด ตามเคย !!