เมืองไทย 360 องศา
“สิ่งสำคัญที่สุด ที่ทุกคนต้องสำนึกอยู่ในวันนี้ เรื่องการบิดเบือนสถาบัน มีกฎหมายมาตรา 112 ใช่หรือไม่ และไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ใช่มั้ย สิ่งที่อยากจะบอกคนไทยทุกคน วันนี้จะเห็นได้ว่า มาตรา 112 ไม่ได้ใช้เลย เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระเมตตาไม่ให้ใช้ นี่คือ สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้แล้ว แล้วคุณก็ละเมิดไปกันเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร คุณต้องการอะไรกัน วันนี้ผมจำเป็นต้องพูด เพียงเพราะผมต้องการให้บ้านเมืองสงบ เข้าใจมั้ย”
“ผมก็สงสารเขาในนามคนไทย ผมไม่ใช่คนใจร้ายจะไปฆ่าไปแกงกันได้อย่างไร แต่ขอให้สำนึกไว้ด้วยว่า มาตรา 112 ทำไมถึงไม่ถูกดำเนินคดี และทำไมถึงมีคนฉวยโอกาสตรงนี้ขึ้นมา พระองค์ท่านมีพระเมตตา มีพระมหากรุณาธิคุณ กำชับมากับผมโดยตรง ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการใช้มั้ย 112 ทำไมไม่คิดตรงนี้ ก็ลามปามกันไปเรื่อย ฉะนั้น ประชาชนทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ ที่มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประชาชนต้องช่วยกัน โดยเฉพาะลูกหลานของท่าน ประเทศไทยไม่เหมือนที่อื่น การเปลี่ยนแปลงประเทศต่างๆ เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้วยความรุนแรงเลย เข้าใจหรือไม่ หลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในวันนี้ เปลี่ยนแปลงด้วยความรุนแรงทั้งสิ้น บาดเจ็บล้มตายไม่รู้เท่าไหร่ แล้วเราจะเอาตัวอย่างแบบเขาทำไม เป็นห่วงที่สุดคือนักศึกษาทุกคน หากมีพฤติกรรมเหล่านี้ วันหน้าเขาจะทำงานยาก บริษัทห้างร้าน เขาไม่อยากได้คนมีทัศนคติอย่างนี้ไปทำงาน แล้วจะทำอะไรกินกัน ผมห่วงเขาตรงนี้ต่างหาก เตือนเขาเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่มันอยู่ที่คนชักนำเขา ฉะนั้น สื่อก็ต้องไม่ช่วยกันประโคมข่าวเหล่านี้ออกไป มันแพร่ไปที่อื่นมันดูไม่ดี ขอให้ช่วยกัน บ้านเมืองจะสำเร็จได้ด้วยมือคนไทยทุกคน ขอบคุณนะครับ”
คำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ถือว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ต้อง “ติดตาม” อย่างเข้าใจในบ้านเมืองนี้ รวมไปถึงการเปิดเผยให้เห็นถึง “พระมหากรุณาธิคุณ” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ในหลวง” ของเราที่ทรงพระเมตตากับคนไทยทุกคน โดยเฉพาะการเปิดเผยจากปากของนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่า พระองค์ท่านไม่ปรารถนาให้มีการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา112 ที่มีสาเหตุมาจากการ “ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์”
โดยชี้ให้เห็นเป็นข้อสังเกตว่า ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเห็นฝ่ายรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายกับพวก “หมิ่นสถาบัน” ด้วยความผิดตามมาตราดังกล่าว ก็เพราะพระเมตตาของพระองค์ท่าน แต่กลายเป็นว่ายังมีความเหิมเกริม มีการ “บิดเบือนให้ร้าย” ไม่หยุดหย่อน
โดยล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นในกรณีของ “”นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์" นักเคลื่อนไหวที่หลบหนีคดีความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ความผิดจากการขัดคำสั่ง คสช. โดยมีการอ้างว่า“ถูกอุ้ม”ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา และที่ผ่านมากลุ่มบุคคลที่โจมตีสถาบันฯ ก็มีการปล่อยข่าวบิดเบือนเชื่อมโยง ดังที่อดีต รองผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ นายนันทิวัฒน์ สามารถ เคยโพสต์เคยชี้ให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวในลักษณะบิดเบือนให้ร้ายดังกล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้
ในกรณีนายวันเฉลิม ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจับตาไม่น้อย เพราะเวลานี้ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงแบบพิสูจน์ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร รวมไปถึงถูกอุ้มจริงหรือไม่ หรือ“ใครอุ้ม”และมีความหมายอย่างไรถึงต้องอุ้มเขา เพราะด้วยสภาพความเป็นจริงแล้ว นายวันเฉลิม ถือว่าเป็นนักเคลื่อนไหวระดับ “โนเนม”มาก ในทางสังคมแทบจะไม่มีใครรู้จัก เปิดข่าวตอนแรกหลายคนยังนึกไปว่า “วันเฉลิม” ที่เป็นชื่อเดิมของลูกชายนักการเมืองดังย่านฝั่งธนฯ หรือเปล่า และเมื่อพิจารณาจากข้อหาที่เป็นความผิด ก็เป็นเพียงข้อหาเล็กน้อย ไม่ใช่อุกฉกรรจ์ รวมไปถึงมีการยืนยันแล้วว่า ไม่มีข้อหาความผิดตาม มาตรา 112 แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมาก็มีความพยายามเชื่อมโยงแบบใส่ร้ายว่า สาเหตุมาจากเรื่องดังกล่าว
เมื่อประมวลเรื่องราวเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดข้อสังเกตที่ดูมี “เจตนาบางอย่าง” หรือเปล่า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณากับกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวรับลูกในแบบ “ตีปี๊บ” ผิดปกติ โดยเฉพาะในกลุ่มของคณะก้าวหน้า ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นหลัก และที่สำคัญ ยังเป็นช่วงที่อยู่ในเดือนมิถุนายน ที่คาดว่าคนกลุ่มนี้จะโหมโรงหนักขึ้นเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปจนถึง วันที่ 24 มิถุนายน ที่ตรงกับวันที่มีการ “เปลี่ยนแปลงการปกครอง” เมื่อปี 2475 โดยคณะราษฎร ที่แกนนำบางคนย้ำว่าจะสานต่อภารกิจให้สำเร็จ
ที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พวกเขาก็พยายามเคลื่อนไหวโจมตีทั้งรัฐบาล ทั้งผู้นำรัฐบาล คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตั้งแต่กรณีการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม หรือก่อนหน้านั้น ก็ยกเอาเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” มาเชื่อมโยง แต่ก็ยัง “ปลุกไม่ขึ้น”
ความพยายามในการปลุกกระแสจากกรณี “การอุ้ม” นายวันเฉลิม ที่กำลังใช้เหตุการณ์ในวันที่ 24 มิถุนายน ที่ตรงกันวันที่มีการ “เปลี่ยนแปลงการปกครอง” พยายามจุดกระแสทั้งบนดิน และใต้ดิน บนดินก็รุกเคลื่อนไหวทางการเมือง พุ่งเป้าไปที่รัฐบาลและตัวผู้นำ ขณะที่ในทางใต้ดิน ก็ใช้สื่อโซเชียลบิดเบือนโจมตีสถาบันไปพร้อมๆ กัน และนับวันจะหนักข้อ และชัดเจนมากขึ้น ดังที่นายกรัฐมนตรีให้ข้อมูลว่า ใช้บรรดา “เด็กๆ รุ่นใหม่” เป็นเครื่องมือ
เมื่อพิจารณาจากคำพูดข้างต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องถือว่ารับรู้ถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าจะรับมือได้ถูกทางหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ที่สำคัญ การใช้กลยุทธ์ในแบบโบราณ แบบในอดีตคงไม่ได้ผล ตรงกันข้ามกลับยิ่งแผ่ขยายออกไปไกลกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรีบปิดจุดอ่อน ต้องทันเกมคนกลุ่มนี้ และ “การ์ดต้องไม่ตก” ห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด
แม้ว่านาทีนี้ยังถือว่ากลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์กับสถาบัน จะยังไม่มีพลังถึงขั้นล้มคว่ำได้ แต่ก็ถือว่าน่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีการรุกเข้าไปในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ให้มีทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปจนสังเกตได้ แต่ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายรัฐก็ต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดขึ้นในแบบ “เก่าๆ” ที่น่ารังเกียจ ทั้งเรื่องการทุจริต การแย่งอำนาจ จนสร้างความเสื่อม แต่กลับไปสร้างพลังให้กับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งแม้ว่าจะเป็นทฤษฎีของฝ่ายซ้ายที่รับรู้กันมานาน แต่ก็ไม่เคยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เลย มีแต่ถลำลึกลงไปทุกที !!