ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ประชาชนเตือน “ลุงตู่” ผ่านโพล ให้ระวังกลุ่ม ส.ส.ที่กำลังแย่งชามข้าวจะทำรัฐบาลพัง พร้อมบอกความจริงว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ ชีวิตความเป็นอยู่แย่ลง แต่นักการเมืองก็ยังห่วงแต่เรื่องแย่งตำแหน่งกันวุ่นวาย หากรัฐบาลไปไม่ไหวก็ขอให้ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนไปเลือกตั้งใหม่
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “สำนักวิจัยซูเปอร์โพล” ที่มี “ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา” เป็นผู้อำนวยการ ได้เผยแพร่ผลการสำรวความคิดเห็นประชาชนต่อเนื่องกัน 2 เรื่องคือเรื่อง “คนดีการเมือง” และเรื่อง “แนวโน้มจุดยืนการเมืองประชาชน” โดยโพลแรก ถามถึงลักษณะคนดีของรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีไว้ใกล้ตัว พบว่าส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 75.5 ระบุต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต ตามศาสตร์พระราชา ไม่ถอนทุนคืน ไม่มีประวัติด่างพร้อย ...ส่วนที่น้อยที่สุด คือ ร้อยละ 3.2 หรือตีความได้ว่าไม่ควรเอาคนพวกนี้มาไว้ใกล้ตัว ก็คือ คนร่ำรวย มากบารมี
ส่วนกลุ่มคนที่จะกระโดดหนีห่าง ทิ้ง “ลุงตู่” เป็นกลุ่มแรก ถ้าบ้านเมืองเกิดปัญหาวิกฤต พบว่า ร้อยละ 61.0 เป็นกลุ่มส.ส.ที่ปากบอกว่า รักลุงตู่ หนุนลุงตู่ ในตอนที่ลุงตู่ กำลังมีอำนาจ ... รองลงมาคือ ร้อยละ 21.6 ระบุ เป็นกลุ่ม ส.ส.ที่กำลัง “แย่งชามข้าว” แย่งตำแหน่งรัฐมนตรีกันในตอนนี้ ส่วนร้อยละ 17.4 ระบุ เป็นกลุ่มข้าราชการ และประชาชนทั่วไป
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 78.7 ระบุ การแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี เป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่จะทำให้รัฐบาลแตกแยก บ้านเมืองวุ่นวาย บนความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน มีเพียงร้อยละ 21.3 ที่ระบุว่า จะไม่เป็นเช่นนั้น
และหากปัญหา “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่ว่า ลุกลาม จนทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย “คำตอบ” ของคนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 70.5 คือให้ “ลุงตู่” ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ มีเพียงร้อยละ 17.8 ที่เสนอให้ปรับ ครม. และ ร้อยละ 11.7 ให้อดทน ทำงานต่อไป
ส่วนผลโพลที่สอง เรื่อง “แนวโน้มจุดยืนการเมืองประชาชน” ที่ถามถึงความเป็นอยู่ของประชาชน หลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งมา 1 ปี พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 43.2 บอกว่า ชีวิตความเป็นอยู่แย่ลง ร้อยละ 31.5 บอกแย่เหมือนเดิม มีเพียง ร้อยละ 21.9 บอกว่าดีเหมือนเดิม และ ร้อยละ 3.4 เท่านั้นที่บอกว่า ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
ในขณะที่ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ “แย่ลง” แต่สาเหตุที่ทำให้บ้านเมือง “วุ่นวายมากขึ้น” ผลสำรวจพบว่าสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายมากที่สุด หรือ ร้อยละ 21.8 ระบุ การแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี รองลงมา ร้อยละ 19.4 ระบุ ความแตกแยกของคนในพรรคการเมือง ร้อยละ 17.9 ระบุ คนในรัฐบาลเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย ร้อยละ 12.3 ระบุ ส.ส.จำนวนหนึ่งที่คอยสร้างความขัดแย้งกับคนอื่นไปทั่วรอบด้าน ร้อยละ 11.3 ระบุ ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจความวุ่นวายของบ้านเมือง และ ร้อยละ 17.3 ระบุอื่นๆ เช่น มีคนจ้องจะถอนทุนคืน และผู้ใหญ่คล้อยตามแรงยั่วยุจากคนรอบข้าง
เมื่อยกตัวอย่างบุคคลที่ “ลุงตู่” ควรไว้วางใจระหว่าง “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” กับ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ในการให้คุมกระทรวงสำคัญถ้ามีการปรับ ครม. ปรากฏว่า ผลคะแนน “ต่ำสูสีกัน” คือ ร้อยละ 25.1 ให้เลือก “ณัฏฐพล” ขณะที่ ร้อยละ 25.0 เลือก “สุริยะ” แต่มีถึงร้อยละ 49.9 บอก ไม่ทราบ ไม่เสนอ ไม่ออกความเห็น
ที่น่าสนใจ และน่าเป็นห่วงคือ “แนวโน้มจุดยืนทางการเมืองของประชาชน” ตั้งแต่เดือน พ.ย. 62 ถึงเดือน มิ.ย. 63 หรือช่วง 6 เดือนล่าสุดนี้ พบว่า แนวโน้มกลุ่มคนไม่สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากร้อยละ 52.2 ช่วงหลังกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออก ไปอยู่ที่ ร้อยละ 54.4 เท่ากับว่า กลุ่มที่มีแนวโน้มไม่สนับสนุนรัฐบาล มีคะแนนทิ้งห่างกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล ที่มีอยู่เพียง ร้อยละ 22.3 และกลุ่มพลังเงียบก็หดตัวลงอีก จากร้อยละ 27.4 เหลือร้อยละ 23.3
จากผลโพลทั้งสองฉบับนี้ ชี้ชัดว่า “ลักษณะคนดี” ที่ประชาชนต้องการให้มาเป็นรัฐมนตรี คือ ต้องซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดเข้ามาถอนทุน และไม่มีประวัติด่างพร้อย ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องการรัฐมนตรี “มากบารมี” ที่จะมาแข่งบารมีกับ “ลุงตู่” เหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน ย่อมอยู่กันไม่ได้
อีกประการสำคัญที่ “ลุงตู่” ต้องพิจารณาคือ ขณะที่ประชาชนเดือดร้อน ทุกข์ยาก แต่บรรดา ส.ส.กลับมุ่งแต่จะแก่งแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ และผลกระทบที่ต่อเนื่องตามมา คือ ทำให้แนวโน้มที่ประชาชนคิดจะเลิกสนับสนุนรัฐบาล มีตัวเลขที่สูงขึ้น ก็มาจากปัญหานี้
สำหรับช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนบอกว่า “ชีวิตความเป็นอยู่แย่ลง และแย่เหมือนเดิม” อันนี้ก็เป็น “ความจริง” ที่ลุงตู่ต้องยอมรับ เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจโลกปั่นป่วนจากสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจ จนส่งผลกระทบมาถึงภาวะเศรษฐกิจ การส่งออกสินค้าของไทย และยังมาถูกซ้ำเติมด้วยการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีจนประชาชนได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ต่อเนื่องกันมา 5-6 เดือน ... เมื่อมาถามตอนนี้ คงไม่มีใครตอบว่ามีชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน
ดังนั้น หลังวิกฤตโควิด-19 สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น ก็คือ ต้องสยบปัญหาการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลมีเอกภาพ มีเสถียรภาพ ร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นงานหนักและท้าทาย ...
แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วยังแก้ปัญหาการแตกแยกไม่จบ แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่สำเร็จ รัฐบาลเดินหน้าต่อไปไม่ไหว ประชาชน ก็เสนอก็ให้ “ยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชนไปเลือกตั้งใหม่ ดีกว่าต้องจำใจปรับครม.ตามแรงกดดัน... เพราะผลโพลก็บอกชัดว่า หากบ้านเมืองวิกฤต คนที่จะโดดหนี “ลุงตู่” ก็คือ กลุ่ม ส.ส.ที่ปากบอกว่า รักลุงตู่ หนุนลุงตู่ ในตอนที่ลุงตู่กำลังมีอำนาจเท่านั้น !!
**มิน่า! ปูด “ค่าน้ำมันรถ” ระดับบิ๊ก การบินไทยอู้ฟู่ 75,000 บาทต่อเดือน ขณะที่เทียบพนักงานทั่วไปกลายเป็นได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมากในโลกออนไลน์ กรณีมีข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “การบินไทย” ในช่วงปกติก่อนที่จะโดนพิษวิกฤตโควิด-19 แพร่ระบาดจนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการนั้น มีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่แพงระยับชนิดได้ยินได้ฟังแล้วต้องตะลึงงัน
โดยเฉพาะค่าใช้จ่าย “ค่าเดินทาง” (Transportation Allowance) หรือ “ค่าน้ำมันรถ” ที่ประเคนให้กับฝ่ายบริหาร ระดับบิ๊กๆ นั้นอยู่ในอัตราที่สูงมาก เทียบกับพนักงานระดับทั่วๆ ไปแล้ว แตกต่างชนิดฟ้ากับเหว!!
ว่ากันว่า ในการบินไทย พนักงานที่จะได้รับค่าน้ำมันรถต้องเป็นพนักงาน “ระดับ 8” หรือ ผู้จัดการแผนก ไปจนถึง “ระดับ 13” หรือ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (EVP)
สำหรับพนักงานระดับ 8-10 ค่าน้ำมันรถที่บริษัทจ่ายเห็นว่ามีความเหมาะสม แต่ฝ่ายบรืหารตั้งแต่ ระดับ 11-13 เวอร์วังอลังการ โดยระดับ 11 หรือ ผู้อำนวยการใหญ่ (VP) เงินเดือนสูงสุด 240,000 บาท ได้รับค่าน้ำมันรถ 70,000 บาท/เดือน
ระดับ 12 หรือ ผู้ช่วยรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (SVP) ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์เท่ากับ VP
ส่วนพนักงาน ระดับ 13 หรือรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (EVP) เงินเดือน 650,000-700,000 บาท ได้รับค่าน้ำมันรถ 75,000 บาท/เดือน
เมื่อคำนวณการจ่ายค่าน้ำมันรถให้พนักงานระดับ 13 หรือ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (EVP) เป็นเงิน 75,000 บาท/เดือน รวมกับเงินเดือนประมาณ 650,000- 700,000 บาท บวกเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 9% ของเงินเดือน หรือคิดเป็น 58,500-63,000 บาท
เท่ากับว่า EVP จะมีรายได้รวม ประมาณ 783,500-838,000 บาท/เดือน ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อนำไปเทียบกับพนักงานอื่นๆ ภายในองค์กร ที่มีฐานเงินเดือนเฉลี่ยไม่สูง กลายเป็นพนักงานได้ผลตอบแทน “ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน” ไปเลย
เรื่องนี้นับเป็นอีกเรื่องของการบินไทยที่ถูกนำมาตีแผ่ หลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับพิจารณาคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นปัญหาที่สะสมมานาน ยัง “กระทบจิตใจ” พนักงานของบริษัท การบินไทย เป็นอย่างยิ่ง
ต้องไม่ลืมว่า ก่อนนี้ “จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล” รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่แทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย เพิ่งลงนามประกาศปรับลดเงินเดือนพนักงานบริษัท 10-50% เป็นเวลาอีก 3 เดือน ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ส.ค. 63 ส่งผลให้พนักงานบริษัท กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตามคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของ บริษัท การบินไทย ระบุว่า บริษัทจะมีค่าจ้างพนักงานจำนวน 21,265 คน หรือคิดเป็นประมาณ 1,400 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในสถานการณ์ปกติ จะมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ประมาณ 2,800 ล้านบาทต่อเดือน
ฟังว่าในช่วง 10 ปีหลัง บริษัทขาดทุน บางปีขึ้นเงินเดือนบ้าง แต่บางปีไม่ขึ้น และปีที่ขึ้นก็ขึ้นเงินเดือนเพียง 2-3% พนักงานการบินไทยจึงมีเงินเดือนไม่มาก ต่างจากระดับ VP หรือ ผู้อำนวยการใหญ่ และ EVP หรือ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ที่มีประมาณ 45 คน ซึ่งได้รับเงินเดือน 200,000-400,000 บาท และได้ค่าน้ำมันอีกเดือนละ 70,000-75,000 บาทดังกล่าว
ว่ากันอีกว่า มี EVP บางคน ที่เออลีรีไทร์ และได้เงินชดเชยไปแล้ว รวมทั้งได้สิทธิประโยชน์ไปทุกอย่าง แต่กลับเข้ามานั่งในตำแหน่ง EVP สรรหา เงินเดือนที่เขาเคยได้รับเดือนละ 2 แสนบาท และค่าน้ำมันเดือนละ 70,000 บาท ตอนนี้เงินเดือนเพิ่มเป็น 6 แสนบาท และยังได้ค่าน้ำมันอีกเดือนละ 75,000 บาทด้วย ยิ่งไม่เป็นธรรมกับพนักงานส่วนใหญ่
งานนี้ นอกจากการบินไทย จะเร่งผ่าตัดใหญ่ ตัดค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็นอื่นๆ ลง ไฟต์บังคับเพื่อความอยู่รอด และหากหวังว่าจะกลับมาแข็งแกร่งได้เหมือนเดิมคงต้องสังคายนา สิทธิประโยชน์ และผลตอบแทนแก่ระดับบิ๊กๆ ทั้งหลายจริงจังเสียที !!