นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง คนดีการเมือง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,790 ตัวอย่าง
เมื่อถามถึงลักษณะคนดีของรัฐมนตรีที่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีไว้ใกล้ตัว พบว่าส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 75.5 ระบุ ซื่อสัตย์ สุจริต ตามศาสตร์พระราชา ไม่ถอนทุนคืน ไม่มีประวัติด่างพร้อย รองลงมา ร้อยละ 10.9 ระบุ ทำเพื่อประชาชนในเฉพาะฐานเสียงของตนเอง ร้อยละ 10.4 ระบุ เป็นคนเก่ง การศึกษาดี มีผลงานสำเร็จเป็นที่ประจักษ์และร้อยละ 3.2 ระบุ อื่นๆ เช่น ร่ำรวย มีบารมี เป็นต้น
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงกลุ่มคนที่จะกระโดดหนีห่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นกลุ่มแรกถ้าเกิดปัญหาวิกฤตขึ้นในบ้านเมือง พบว่าส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 61.0 ระบุ เป็นกลุ่ม ส.ส.ที่ปากบอกว่ารักบิ๊กตู่ หนุนบิ๊กตู่ ตอนที่บิ๊กตู่กำลังมีอำนาจ รองลงมา ร้อยละ 21.6 ระบุ เป็นกลุ่ม ส.ส.ที่กำลังแย่งชามข้าว แย่งตำแหน่งรัฐมนตรีกันตอนนี้ และร้อยละ 17.4 ระบุ เป็นกลุ่มข้าราชการและประชาชนทั่วไป
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.7 ระบุ การแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทำรัฐบาลแตกแยก บ้านเมืองวุ่นวาย บนความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 21.3 ระบุ ไม่เป็น
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 70.5 ระบุ การยุบสภา คืนอำนาจประชาชน เลือกตั้งใหม่คือคำตอบ ในขณะที่ร้อยละ 17.8 ระบุ ปรับคณะรัฐมนตรีคือคำตอบ และร้อยละ 11.7 ระบุอื่นๆ เช่น ทำงานต่อไป คือคำตอบ
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ชัดว่า ลักษณะคนดีของรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการมากที่สุด คือ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย แต่ลักษณะของรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการน้อยที่สุด คือรัฐมนตรีที่มีบารมี จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ในคณะรัฐมนตรีไม่ควรมีคนมากบารมีมากกว่านายกรัฐมนตรี ตามคำโบราณที่ว่า เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ การแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีกันของ ส.ส.ในพรรคการเมืองตอนนี้ กำลังกายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำให้รัฐบาลแกว่งตัวสั่นคลอนบ้านเมืองวุ่นวายบนความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน และผลจากการประเมินขั้นสุทธิ พบว่าการยุบสภาช่วงนี้จะเหมาะมากต่อจังหวะลงจากหลังเสือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา หรืออาจทำให้ปัญหาวุ่นวายในบ้านเมืองช่วงปลายปีนี้ไม่เกิด แต่ถ้าจะยื้อกันต่อไปก็รอดูกันต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ โดยรัฐบาลต้องไม่ทำอะไรฝืนกระแสอารมณ์ของสาธารณชนเพิ่มเติมขึ้นอีกนับจากเวลานี้เป็นต้นไป รัฐบาลต้องนิ่งๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานแก้ปัญหาเดือดร้อนความทุกข์ยากของประชาชนต่อไป ขอให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลอย่าเป็นต้นตอของความวุ่นวายเสียเอง