อดีตโฆษก ปชป.อัดเลขาฯ ป.ป.ช.ไร้หลักการ-ขาดจิตสำนึก หลังอ้างยืมใช้คงรูป อุ้ม “ประวิตร” ปมนาฬิกาหรู ใช้เป็นบรรทัดฐานคดีอื่นไม่ได้ สะท้อนดุลพินิจบิดได้ ชี้ระบอบ 3 ป. สร้างนวัตกรรมซุกทรัพย์สินสู่สินบนคงรูป งงผู้นำคนดีนิ่งเฉย
วันนี้ (11 มิ.ย.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เขียนข้อความลงในเฟซบุ๊คเรื่อง “ยืมใช้คงรูป” จะนำไปสู่ “สินบนคงรูป” นวัตกรรมเปิดช่องซุกทรัพย์สิน ยุคระบอบ 3 ป. มีเนื้อหาระบุว่า หลายวันก่อนอ่านข่าวนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช.ออกมาอธิบายถึงกรณียืมนาฬิกาเพื่อนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินกับ ป.ป.ช. เพราะถือเป็นการ “ยืมใช้คงรูป” และกรณีนี้จะไม่เป็นบรรทัดฐานในอนาคต เนื่องจากต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ถือเป็นคำชี้แจงที่ไร้หลักการและขัดกับหลักจิตสำนึกพื้นฐานอย่างยิ่ง ผมมีคำถามคาใจที่ต้องการคำตอบแบบมีสามัญสำนึก แม้ตอนนี้จะหาได้ยากยิ่งในแวดวงคนองค์กรอิสระ 2 ข้อ คือ
1. การครอบครองนาฬิกาเพื่อน 21 เรือน ที่ ป.ป.ช สรุปเชื่อว่าเป็นการยืมใช้คงรูปเพราะเชื่อตามพยานหลักฐานว่าพบนาฬิกาอยู่ในบ้านของผู้ให้ยืมตามที่พลเอกประวิตรอ้างว่าคืนไปแล้วและตามพยานบอกเล่าซึ่งล้วนแต่ใกล้ชิดและเป็นคุณกับ พล.อ.ประวิตรทั้งสิ้น โดยไม่มีการตรวจสอบให้สิ้นกระแสความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องชื่อผู้ซื้อจากบริษัทผู้ผลิตนาฬิกา เพราะมีข้อมูลเจ้าของนาฬิกาเพียงแค่ 10 เรือนเท่านั้น แต่กลับเหมารวมว่าทั้งหมดเป็นของคนคนเดียวกันกับผู้ให้ยืมที่เสียชีวิตไปแล้ว นอกจากนี้ยังขัดกับหลักแห่งความเป็นจริงตามปกติประเพณีของผู้ที่นิยมชมชอบนาฬิกาซึ่งเป็นเครื่องประดับส่วนตัวที่บ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะของผู้สวมใส่ เป็นของรักของหวง ของสะสมที่ไม่นิยมให้ใครยืมกัน ทางกลับกัน ผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาโดยทั่วไปก็ไม่นิยมยืมของใครมาสวมใส่ เพราะไม่เกิดคุณค่าทางจิตใจเท่ากับการได้ครอบครองเป็นของตนเองตามรสนิยมและฐานะ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตรที่อ้างว่ายืมนาฬิกาเพื่อนจำนวนมากถึง 21 เรือนมาเป็นของใช้ส่วนตัวใส่ออกงานในวาระต่างๆ อยู่เป็นประจำ แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประวิตรเป็นคนชื่นชอบนาฬิกา จึงเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่ พล.อ.ประวิตรซึ่งมีทรัพย์สินเงินทองมากมายจะซื้อหานาฬิกาทั้ง 21 เรือนมาเป็นสมบัติส่วนตัวตามที่ตนเองชื่นชอบ หรือเป็นเรื่องปกติที่ใครจะประจบเอาใจซื้อให้เป็นของขวัญ เพราะ พล.อ.ประวิตรเป็นนายทหารใหญ่ที่อยู่ทุกขั้วอำนาจมาอย่างยาวนาน สามารถให้คุณให้โทษ ให้ประโยชน์ทางธุรกิจใครต่อใครได้ทั้งนั้น การปิดคดีแบบห้วนๆ สั้นๆ ว่าเป็นยืมใช้คงรูปเช่นนี้ย่อมสร้างปมคาใจ ทำให้องค์กร ป.ป.ช.ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาชน พวกท่านจะคิดทำอย่างไร
2. การวินิจฉัยนาฬิการาคาหลักล้านของ พล.อ.ประวิตร ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งสามารถให้คุณให้โทษ ให้ผลประโยชน์ทางธุรกิจใครต่อใครได้ว่าเป็นการยืมใช้คงรูป จะกลายเป็นการเปิดช่องให้ “นาฬิกา” เป็น “สินบนคงรูป” ให้กันได้อย่างถูกกฎหมาย เพียงแค่บิดไปว่าเป็นการ “ยืม” ทุกอย่างจบ เพราะสุดท้าย “นาฬิกา” จะกลับไปอยู่ในมือใคร หรือแปรสภาพเป็นเงินเมื่อไหร่ ป.ป.ช.จะตรวจสอบและเอาผิดได้อย่างไร
อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุต่อไปว่า จากสภาพการทำงานของ ป.ป.ช.ที่เต็มไปด้วยข้อครหาในยุคที่ 5 ใน 9 คน มาจากการสรรหาตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 72/2557 ย่อมถูกมองแล้วว่า เสียงข้างมากเป็นคนของ คสช.ซึ่งยังคงอยู่ในอำนาจต่อเนื่อง แม้ คสช.จะสิ้นสภาพไปแล้วจากการมีรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และกำลังมีปัญหาเพิ่มขึ้นจากการตั้งอดีต สนช.ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช.โดยคนที่ คสช.แต่งตั้งคือ ส.ว. ขณะที่หนึ่งในคนที่ต้องถูกตรวจสอบก็คือ คสช.ที่ยังไม่ยอมปล่อยอำนาจในมือ หลักประกันความโปร่งใส การถ่วงดุลที่พึงมีตามกลไกที่ออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นแค่พิธีกรรมที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ
“นี่คือหายนะของระบบตรวจสอบที่เกิดขึ้นในยุคระบอบ 3 ป. ถ้าเรามีคนดีจริงๆ เป็นผู้นำ ผมไม่คิดว่าเขาจะทนสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะ “คนดี” ต้องไม่ยอมหลิ่วตาเมื่อเห็นการกระทำผิด แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นพี่พ้องน้องเพื่อนของตัวเองก็ตาม ผมจึงอยากกระตุกจิตสำนึกที่ยังพอหลงเหลืออยู่ให้ผู้มีอำนาจสูงสุดทบทวนสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ แล้วปรับพฤติกรรมเสียใหม่ ส่วนบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายที่สมยอมให้ถูกทำลาย ต้องย้อนมองตัวเองด้วยว่า ศักดิ์ศรียังมีอยู่อีกหรือไม่ พวกท่านต้องระลึกเสมอว่าของเสียที่พวกท่านช่วยกันสะสมจะกลายเป็นความขัดแย้งลูกใหม่ที่รุนแรงในอนาคต” นายเชาว์ระบุทิ้งท้าย