เมืองไทย 360 องศา
ตามการแถลงทั้งจากปากของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ว่า ให้รอฟังผลการประชุมของ ศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันที่ 29 พฤษภาคม แต่ก็แย้มให้ฟังแล้วว่าจะมีการคลายล็อกใน “เฟสที่ 3” และก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่าจะมีมาตรการผ่อนคลายดังกล่าวออกมา เพียงแต่ให้ฟังรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี คาดว่า ในการประชุมของ ศบค.ในวันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งเป็นการประชุมชดใหญ่ หลังจากเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม มีการประชุมของคณะกรรมการที่เรียกว่าเป็นกลุ่มย่อย มี พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน ในการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการควบคุมกิจกรรมและกิจการต่างๆ เพิ่มเติม รวมไปถึงการปรับลดเวลาเคอร์ฟิว และการเตรียมการเปิดภาคเรียนในเดือนกรกฎาคมอีกด้วย แม้ว่ายังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากต้องนำเสนอคณะ กรรมการชุดใหญ่ที่มี นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในวันที่ 29 พฤษภาคม
แต่เมื่อตอนเช้า วันที่ 28 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เรียกประชุม ศบค.ในแบบกลุ่มย่อย ที่ประกอบด้วย เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เพื่อรับฟังความเห็นในด้านต่างๆ ก่อนที่จะมีการคลายล็อกใน “เฟสที่ 3” ต่อไป
อย่างไรก็ดี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.ได้แย้มให้เห็นภาพไว้ล่วงหน้า เช่น ห้างสรรพสินค้า ซึ่งที่ผ่านมามีมาตรการในการป้องกันโรคได้ดี ไม่มีปัญหาในเรื่องการแพร่ระบาดหลังจากเปิดให้บริการ ก็อาจมีการเปิดบริการร้านค้าภายในห้างได้มากขึ้น
ด้านกีฬา ที่อาจจะเปิดให้มีการซ้อมของนักกีฬาที่เป็นตัวแทนในระดับต่างๆ ก็มีโอกาสเปิดได้มากขึ้น ส่วน “เคอร์ฟิว” ที่จะลดเวลาเคอร์ฟิวลงมา จาก 23.00-04.00 น.ก็อาจจะลดลงมาอีก ขณะเดียวกัน ก็ต้องบังคับให้มีการใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ เพื่อเช็กอิน เช็กเอาต์ ด้วย หลังจากมีการพัฒนามาจากแพลตฟอร์มไทยชนะก่อนหน้านี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อ เนื่องจากกิจการในเฟสสามล้วนมีความเสี่ยง
แน่นอนว่า ในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ จะต้องมีการ “คลายล็อกในเฟสที่ 3” ซึ่งก็จะเป็นในกลุ่มที่เคยมีความเสี่ยงก่อนหน้านี้เพิ่มเติม รวมไปถึงการลดเวลาเคอร์ฟิวลงมา รวมไปถึงก่อนหน้านี้ ก็ได้ยินว่า มีการพิจารณาอนุญาตให้มีการเดินทางข้ามจังหวัดได้ทั่วประเทศ แต่ทุกอย่างต้องรอเคาะกันในวันนี้ (29 พฤษภาคม) จาก ศบค.ชุดใหญ่ จากนั้นก็ให้สะเด็ดน้ำจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็พอรู้แล้วว่าผลจะออกมาแบบไหน
หากพิจารณากันในภาพรวมแล้วก็ต้องถือว่าการคลายล็อกในเฟสสามที่ว่านี้ เป็นการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ให้กลับมาเดินเครื่องได้เต็มสูบมากขึ้น แม้ว่ายังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยในระดับ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเหมือนเป็นการ “กระตุก” ชีพจรให้กลับมาอีกครั้ง หลังจากต้องชัตดาวน์นานนับเดือน
แต่สิ่งที่ต้องจับตากัน ก็คือ ยังมีเหลืออีกกี่ธุรกิจที่สามารถกลับมาได้ หรือฟื้นกลับมาได้ทันท่วงทีเพื่อรับกับการคลายล็อกครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาถือว่า “นิ่งสนิท” ขณะเดียวกัน เมื่อกลับมาแล้วจะสามารถเดินไปข้างหน้าได้หรือไม่ เพราะทุกธุรกิจถือว่า “อ่วม” กันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภายในและภายนอก โดยเฉพาะภายนอกหลายประเทศที่เคยเป็นคู่ค้าหลักของไทย ยังถือว่า “สาหัสนัก” หนักกว่าประเทศไทยทั้งนั้น เอาง่ายๆ แค่รอบบ้านอาเซียน ทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น เหล่านี้ยังล็อกดาวน์กันอยู่เลย ไม่ต้องไปพูดถึงตลาดทางด้านยุโรป อเมริกา ที่แม้มีการคลายล็อก แต่ก็ถือว่ามีการค้าขายกันลำบาก ทุกประเทศล้วนแล้วแต่มีการกีดกันสินค้าจากภายนอก ต้องการช่วยเหลือธุรกิจภายในของตัวเองก่อนทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
ดังนั้น ก็ต้องจับตากันว่าเมื่อเข้าสู่การคลายล็อกในเฟสสามที่เริ่มเข้าสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น จะทันการณ์หรือไม่ หรือว่าเกือบทั้งหมดล้มหายตายจากกันไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ ไม่ใช่มีแต่เรื่องโควิด แต่มีเรื่องภัยแล้ง ปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า ที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรถือว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่ต้องอยู่ในภาวะ “ปิดตาย” เหมือนก่อนหน้านี้ และที่สำคัญต้องมาลุ้นกันว่ารอดหรือไม่รอด !!