เมืองไทย 360 องศา
ก็ถือว่าเป็นไปตามคาดหมายว่า การอภิปรายร่างพระราชกำหนด 3 ฉบับ ที่เรียกรวมๆ ว่า เป็นการให้อำนาจกระทรวงการคลัง หรือรัฐบาลกู้เงินเพื่อนำเงินมาแก้ปัญหาวิกฤตจากโรคระบาดไวรัสโควิด-19 จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 27-31 พฤษภาคม เริ่มวันแรกก็เป็นไปอย่างจืดชืด ไม่ได้มีข้อมูลเชิงลึก เท่าที่ได้ฟังการอภิปรายของ ส.ส.ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ต่างจากวงสนทนาของชาวบ้านทั่วไป เป็นวาทะแบบเดิมๆ ก็คือ สร้างภาระหนี้ให้กับลูกหลานที่ต้องตามชดใช้กันไปตลอดหลายสิบปีข้างหน้า
ขณะที่บางคนก็เหมารวมว่าเป็นพระราชกำหนดกู้เงินจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ทั้งที่หากแยกออกมาจะเป็นร่างพระราชกำหนด ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวน 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาฟื้นฟูเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าว ส่วนที่เหลืออีกสองฉบับ เป็นพระราชกำหนดที่ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยนำเงินไปช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบ หรือเป็นการให้อำนาจเข้าไปบริหารจัดการเสริมสภาพคล่องโดยการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านสถาบันการเงิน
ทั้งสองฉบับหลังนี้อาจไม่เรียกว่าเป็นเงินกู้ แต่เป็นเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ต้องการช่วยเหลือด้านสินเชื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ เอสเอ็มอี รวมไปถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (BSF) เพื่อตั้งกองทุนรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้และรักษาเสถียรภาพและสนับสนุนสภาพคล่องด้วยการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ออกใหม่ เป็นต้น ซึ่งเป็นมาตรการเชิงป้องกันเพื่อรักษาสภาพคลองระบบทางการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเป็นกลไกชั่วคราวเท่านั้น
แน่นอนว่า ยังเหลือเวลาการอภิปรายของ ส.ส.ในสภาอีกสามสี่วัน กว่าจะถึงวันที่ 31 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันลงมติก็ต้องงรอลุ้นกันว่าจะมีอะไรน่าสนใจมากกว่านี้หรือไม่
เพราะหากพอติดตามมาตั้งแต่วันแรกก็ต้องบอกว่า “จืดสนิท” ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย ไม่ได้แตกต่างจากการอภิปราย ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณก่อนหน้านี้ ทั้งที่เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสถานะของรัฐบาล ถ้าพลาด หรือแพ้เสียงโหวตก็มีอันต้องล่องจุ้นกันเลย เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในเวลานี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พ้นจากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ กลายเป็นรัฐบาลเหนือน้ำ มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านนับรวมๆ แล้วน่าจะเกินกว่า 40 เสียงเข้าไปแล้ว และมีแนวโน้มว่าน่าจะมีเสียงมาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ที่ผ่านมา หากมีการอภิปรายหรือพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติหรือเกี่ยวกับพระราชกำหนดที่ต้องเสนอต่อสภาให้พิจารณาหากมีการเปิดสภาเมื่อใด ซึ่งทุกครั้งที่เกี่ยวกับกฎหมายการเงิน ถือว่า “งานกร่อย” หรือไม่สนุก ไม่เร้าใจเหมือนกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือแม้แต่กระทู้ถามที่เกี่ยวกับการเมือง หรือเรื่องที่มีการกล่าวหาการทุจริต ที่แบบนี้มักจะดุเดือดร้อนแรงอยู่เสมอ
ยิ่งเมื่อทอดตาไปที่พรรคฝ่ายค้านในเวลานี้ยิ่งไปกันใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านหลักเป็นแกนนำในการอภิปรายในสภาส่วนใหญ่ล้วนเป็น “แถวสอง” แถวสาม เกือบทั้งสิ้น ไม่มีระดับ “ดาวดัง” เหลืออยู่เลย หากพูดกันตรงๆ ก็คือไม่มี “ดาวสภา”ที่สะกดคนฟังหรือให้ชาวบ้านรอติดตามฟังการอภิปรายเหมือนก่อนหน้านี้
ขณะที่พรรคการเมืองอื่น เช่น พรรคก้าวไกล ที่ต่อเนื่องมาจากพรรคอนาคตใหม่ ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่าง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เคยถูกจับตาในเรื่องการอภิปรายทางด้านเศรษฐกิจ มาคราวนี้ก็อ้างว่าต้องเข้าผ่าตัดเกี่ยวกับลำคออย่างกะทันหันเสียอีกทำให้อดได้เห็นลีลาในสภาฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านคนใหม่ที่พอฝากผีฝากไข้ไปเสียอีก
อย่างไรก็ดี ก็ต้องเอาใจช่วยให้ฝ่ายค้านสามารถสร้างสรรค์การอภิปรายแบบได้น้ำได้เนื้อ เสนอข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ให้กับฝ่ายรัฐบาลให้สมกับที่มีการต่อรอง ขยายเวลาการอภิปรายจากสามวันเป็นห้าวัน ซึ่งตามระยะเวลาแบบนั้นก็ย่อมหมายถึงการมีข้อมูล ข้อเสนอแนะที่ดีพอไม่ใช่เพียงแค่การเกลี่ยเวลาไปให้กับ ส.ส.ที่คิดว่าการได้อภิปรายในสภาเป็นการหาเสียงให้ชาวบ้านได้จดจำผ่านหน้าจอทีวี หรือการสร้างปมเด่นด้วยการประท้วงไร้สาระ ถือว่าเป็นเรื่องที่คิดผิด และน่าเศร้า
แต่ที่น่าจับตามากไปกว่านั้น ก็คือ การลงมติที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ จะมีเสียงจากพรรคฝ่ายค้านมาร่วมโหวตให้กับฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่เท่านั้นเอง เพราะที่ผ่านมาเริ่มได้เห็นความเคลื่อนไหวแบบ “แปร่งๆ” เกิดขึ้นให้เห็นบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ได้เห็นจากการที่มีการเคลื่อนไหวในพื้นที่ลำปาง จนทำให้การเลือกตั้งซ่อมในเขต 4 คราวนี้ไม่มีผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ทั้งที่เป็นเจ้าของที่นั่งเดิม ทำให้มองกันว่าอาจมีรายการหลีกทางให้กับฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ และที่สำคัญ ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่าจะมี ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย โยกมาสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลอีกชุดใหญ่ ล้วนเป็นเรื่องที่ชวนติดตามแบบไม่กะพริบตาเลยทีเดียว
ดังนั้น หากให้พิจารณาจากภาพรวมในการอภิปรายจากเวลาที่เหลืออยู่ เชื่อว่า คงต้องรอลุ้นกันว่าจะเข้มข้นหรือไม่ แต่ที่น่าจับตามากไปกว่านั้น ก็คือ จะมีเสียงโหวตจากฝ่ายค้านเทมาฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นมาอีกกี่เสียงเท่านั้นเอง !!