ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จับอีกโป๊ะ “แกร็บ” เจ้าเก่า บริการส่งพัสดุเอกสาร-สั่งซื้อของเข้าบ้าน คนใช้แอปฯ สั่งปุ๊บ เก็บตังค์ปั๊บ 3 บาทต่อครั้ง โซเชียลฯ ประณามขูดรีดทุกเม็ด ในวันที่คนไทยลำบาก หมดโควิดก็เตรียมบอกลา!!!
ดีลิเวอรี่สีเขียว “แกร็บ” โดนจับโป๊ะว่าฉวยจัวหวะตักตวงกำไรบนความวิกฤตของสถานการณ์แพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่องจาก “แกร็บฟู้ด” บริการสั่งอาหารที่คิดคอมมิชชัน จากผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องปิดหน้าร้านในอัตรา 30% จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก...
คราวนี้มาถึง “GrabExpress” หรือ บริการรับส่งพัสดุ-เอกสารถึงที่แบบทันที และบริการใหม่ที่คิดขึ้นมารับภาวะฉุกเฉินโดยเฉพาะ “GrabAssistant” บริการฝากซื้อสินค้าจากร้านค้าส่งตรงถึงบ้าน
สองบริการนี้ ถือว่ามีความต้องการใช้บริการดีลิเวอรี่สูง ผลมาจากการล็อกดาวน์ และอาจจะเพิ่มสูงไปอีกเมื่อมี “เคอร์ฟิว” แน่นอนว่า นโยบาย “Work from home” องค์กร บริษัทเอกชน ต้องพึ่งบริการส่งพัสดุ หรือ เอกสารของออฟฟิศอีกมากมายมหาศาล เพื่อให้งานของสำนักงานเดินต่อไป ส่วนประชาชนทั่วไป ใครที่อยู่บ้านจะใช้บริการดีลิเวอรี่ไปซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านขายยา และร้านค้าอื่นๆ ก็สั่งกันไป ดีลิเวอรี่ ก็จะรับออเดอร์สินค้า ไปส่งของให้ถึงบ้าน
“แกร็บ” ก็มองเห็นโอกาส “จับปลาตอนน้ำขุ่น” โหมโปรโมต GrabExpress และ GrabAssistant พอดี๊พอดี คนใช้บริการตาดี เห็นประกาศสำคัญที่ “แกร็บ” แจ้งลูกค้าว่า ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม เป็นต้นไป แกร็บ ขอเก็บ “ค่าธรรมเนียมการใช้แอปพลิเคชัน” จากลูกค้าที่ใช้บริการ GrabExpress และ GrabAssistant “3 บาทต่อครั้ง” โดยค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น จะถูกคำนวณรวมอยู่ในราคาค่าบริการที่ลูกค้าเป็นผู้ชำระ และบริษัทจะหักค่าธรรมเนียมดังกล่าวจากกระเป๋าเงินสดของพาร์ตเนอร์คนขับเมื่อจบงาน
โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ลูกค้าจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้แอปฯ เข้ามาใช้บริการแกร็บเมื่อไหร่ โดนเรียกเก็บ 3 บาทต่อครั้งทันที !!
ลูกค้าได้ยินได้ฟังแล้วพากันเห็นซึ้งถึงบริการ “ดีลิเวอรี่สีเขียว” กันเลยทีเดียว หลายคนเข้าไปคอมเมนต์ ในเพจของแกร็บเอง ถามกันตรงๆ... ทำไมฉวยโอกาสขึ้นราคาในวันที่คนไทยยากลำบาก งานก็ไม่ได้ทำ เงินจะกินยังหายาก ยังจะมาเรียกเก็บค่าใช้แอปฯอีก... แบบนี้ไปไกลๆ !!
ดูท่างานนี้ “แกร็บ” จะต้องหาคำพูดหล่อๆ มาแก้เกี้ยวกันเหมือนวันก่อนอีกหรือเปล่า
จะพูดยังไงก็ต้องอย่าลืมล่ะ “แกร็บ” สร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยเทคโนโลยี มีแฟลตฟอร์มมาจากสิงคโปร์ โตขึ้นมาจากเรี่ยวแรงของคนไทย ที่สมัครมาเป็น “พาร์ตเนอร์” เอารถตัวเองมาวิ่ง เอาเวลาว่างมาหารายได้เสริม มีร้านค้าผู้ประกอบการที่เข้าร่วม หวังเป็นช่องทางทำมาค้าขายใหม่ๆ กำรี้กำไร แม้จะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดนหักค่าคอมฯไปแพงๆ ก็ทนเอา ในแง่ลูกค้าก็สะดวกสบายขึ้น ยอมแลกกับค่าส่งที่ไม่น้อย บางทีค่าส่งยังสูงกว่าค่าอาหารที่สั่งอีกต่างหาก พอกิจการดี ธุรกิจไปได้สวย “เจ้าสัว” ใหญ่ไทยแลนด์เลยควักเงินซื้อ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วก็มีคนพูดๆ กันว่า ตั้งแต่เจ้าสัวมาถือหุ้นใหญ่ในแกร็บ ดีลิเวอรี่ เจ้านี้ยิ่งกำไรพุ่งพรวดพราด
วิกฤตในวิฤตแบบนี้ คนไทยทุกข์ระทม ร้านค้า ร้านอาหาร ขายของหน้าร้านไม่ได้ ออฟฟิศปิด แทนที่จะลดค่าธรรมเนียม ค่าเปอร์เซ็นต์ลง กลับคิดหยุม คิดหยิม ตักตวงผลประโยชน์ กอบโกยกำไร ใครเขาจะรับได้ หมดโควิด-19 ก็อย่าได้แปลกใจ ถ้าแอปฯแกร็บ จะถูกถอนการติดตั้ง ร้านอาหาร คนใช้บริการ หันไปหาเจ้าอื่น
คนไทยไม่ใช่หมูในอวย และที่สำคัญไม่ได้ลืมง่ายนะจะบอกให้
** ลุงตู่ใช้ยาแรง ประกาศ “เคอร์ฟิว” 4 ทุ่มถึง ตี 4 ทั่วประเทศ หยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หากประชาชนยังไม่ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” การแพร่ระบาดยังเอาไม่อยู่ เชื่อว่าอีก 7-10 วันข้างหน้า อาจเจอเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง
หลังจาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปแล้ว แต่สถานการณ์ก็ “ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ” เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้น กว่า 100 ราย หลายวันติดต่อกัน
มาตรการต่างๆ ที่นำออกมาใช้ เพื่อหยุดการรวมกลุ่ม หยุดการสังสรรค์ ระงับยับยั้งการเดินทางของประชาชนภายในประเทศ และการเดินทางมาจากต่างประเทศ ให้ทำได้ยากขึ้น รวมทั้ง กทม.ได้ออกคำสั่งให้ ร้านสะดวกซื้อ ยันรถเข็น แผงลอย ปิดการให้บริการ ในเวลา 00.00-05.00 น. และบางจังหวัด อย่างเช่น จ.นนทบุรี ก็ออกคำสั่งห้ามบุคคลออกจากเคหสถานยามค่ำคืน ตั้งแต่เวลา 22.00-05.00 น.
นั่นเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้ประชาชนเตรียมตัว รับมือมาตรการที่เปรียบเหมือนยาแรง ที่กำลังจะตามมา แต่ภาพโดยรวมก็คือ “ประชาชนยังไม่หยุดการออกจากบ้าน” ... นี่คือปัญหาใหญ่ ที่ทางแพทย์เห็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ยังหยุดการแพร่ระบาดไม่ได้
ล่าสุด นายกรัฐมนตรี จึงต้องใช้มาตรการที่ “เข้มข้น” มากขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการประกาศ “เคอร์ฟิว” ทั่วประเทศ ห้ามออกจากบ้าน ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. โดยให้มีผลตั้งแต่ วันนี้ (3 เม.ย.) เป็นต้นไป
แต่มาตรการ “เคอร์ฟิว” นี้ ก็ยังได้ “ผ่อนปรน” ให้ผู้ที่มีเหตุจำเป็น หรือผู้ปฏิบัติงานในบางอาชีพ เช่น ด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าที่จำเป็น เพื่อการอุปโภคบริโภค ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เชื้อเพลิง รวมถึงการเดินทางของประชาชน เพื่อเข้า-ออก เวรทำงาน หรือการเดินทางเข้า หรือออกจากท่าอากาศยาน โดยให้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่นั้นๆ
นอกจากนี้ “ลุงตู่” ยังให้คำมั่น เพื่อเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ว่าต้องได้รับการสนับสนุน ในเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ หน้ากากอนามัย ยา เวชภัณฑ์ อย่างทั่วถึง และโดยเร่งด่วน ...
“ผมจะติดตามด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมหมอและพยาบาลที่เปรียบเสมือน “นักรบที่อยู่แนวหน้า” คอยต่อสู้ และสกัดกั้นข้าศึกที่มองไม่เห็น ด้วยความเสียสละและอดทน ผมในฐานะ “แม่ทัพ” จะไม่ยอมให้กำลังหลักของเรา ต้องต่อสู้ภายใต้ความขาดแคลนไม่ได้อย่างเด็ดขาด เราจะต้องเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ให้ได้”
ในส่วนของ “คนไข้” หรือผู้ที่ติดเชื้อแล้ว ซึ่งลุงตู่ ถือว่าเป็น “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” ก็ยืนยันว่า เรามี ยา ที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ มี “เตียง” สำหรับรองรับคนไข้ โดยสามารถเพิ่มศักยภาพจากโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และ โรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่า “ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด” ทุกคน จะมีเตียง และยา ในการดูแลรักษาอาการป่วย ตามมาตรฐานสากล ทุกประการ…ดังนั้น ผู้ป่วยก็อย่าได้ท้อแท้ หมดกำลังใจ
สำหรับผู้ที่ฉวยโอกาส ซ้ำเติมวิกฤตความทุกข์ยากของประชาชน กักตุนหน้ากากอนามัย กักตุนสินค้าอุปโภค บริโภค ที่จำเป็น ...นี่ต้องเอาให้หนัก เพราะกฎหมายระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ... หากประชาชนพบเห็น ก็ช่วยแจ้งเบาะแสได้ที่ “สายด่วน บก.ปคบ.1135”
การประกาศ “เคอร์ฟิว” ครั้งนี้ จำกัดเวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง ในช่วงกลางคืน จาก 4 ทุ่ม ถึง ตี 4 เมื่อมีการประเมินผลภายใน 7 วัน หลังจากที่ใช้ “ยาแรง” ไปแล้ว หากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อว่า อาจพิจารณา “ล็อกดาวน์” ให้หยุดการขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น รถเมล์ รถไฟฟ้า และ เรือด่วน เพื่อหยุดการเดินทางไปทำงานของพนักงานบริษัท ให้ไปทำงานที่บ้านให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ...และหากยังเอาไม่อยู่ เชื่อว่า “ลูงตู่” คงต้องประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงทั่วประเทศแน่
วิกฤต “โควิด-19” ครั้งนี้ เป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดของประเทศ และของโลก สิ่งที่ทุกคนต้องตระหนัก คือ ต้องร่วมมือ ปฏิบัติตนตามมาตรการที่แพทย์แนะนำ คือ แยกตัวอยู่บ้านตามมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อลดภาระของทีมแพทย์ และพยาบาล ที่เสียสละที่ ต่อสู้กันมานานหลายเดือนแล้ว ...
หาก “แนวหน้าเข้มแข็ง” และ “แนวหลังเข้มงวด” ประเทศไทยก็จะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน