“เนติวิทย์” นักเคลื่อนไหวกิจกรรมนักศึกษาชื่อดัง ประกาศขาย “น้ำพริกแว่นแดง” ช่วยแม่ค้าห้างจามจุรีสแควร์ สู้โควิด-19 เผยชื่อ “แว่นแดง” มาจากตัวเองเป็น “แบรนด์” แต่ไม่มีส่วนแบ่งจากยอดขายใดๆ ทั้งสิ้น
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 มี.ค. 63) ทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก ของ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล โพสต์ “ขายน้ำพริกช่วยแม่ค้า” ยกใหญ่
เริ่มจาก ทวิตเตอร์ Netiwit Chotiphatphaisal
@NetiwitC โพสต์หัวข้อ “ถึงคราวที่ผมต้องขาย น้ำพริก”
โดยระบุว่า “เศรษฐกิจไม่ดี ห้างปิด คนขายของในห้างจามจุรีสแควร์เดือดร้อน ยังไม่มีมาตรการใดๆ ช่วยพวกเขา เลยจำเป็นที่ต้องเอาน้ำพริกสูตรโบราณจากบ้านที่อยุธยามาทำขาย ใช้ชื่อ “แว่นแดง” ขอผมเป็นแบรนด์ ผมได้ชิมแล้ว อร่อย สะอาด วัตถุดิบอย่างดี อยากให้ซื้ออุดหนุนกันครับ
ส่วนเฟซบุ๊ก Netiwit Ntw ก็โพสต์หัวข้อ “น้ำพริกแว่นแดงใช่ครับ ตอนนี้ผมหันมาขายน้ำพริกแล้ว
“แว่นแดง” ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือผมเอง”
โดยระบุว่า “น้ำพริกตราแว่นแดง เกิดจากผู้ค้าขายเสื้อผ้า ร้านเล็กๆ (ทำอาหารอร่อยมาก) ในห้างจามจุรีสแควร์ ทำ ขึ้นเพื่อหารายได้ประทังชีวิตต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ต่อสู้กับการถูกกลั่นแกล้งไล่ที่ภายในห้าง เพราะพวกเขาไม่ยอมความอยุติธรรม จึงถูกพยายามไล่มาโดยตลอด
แต่ตอนนี้พิษโควิด-พิษเศรษฐกิจ ปิดห้างอีก ทำให้รายได้พวกเขาแทบเป็นศูนย์ แถมค่าเช่าที่อีกก็ยังไม่มีมาตรการเยียวยาใดๆ
เนื่องจาก เขาเห็นว่า ผมช่วยเหลือและต่อสู้ร่วมกับเขามาตลอดหนึ่งปีนี้ จึงขอตั้งชื่อน้ำพริกว่า “แว่นแดง” เพื่อเป็นเกียรติกับผม ผมไม่มีปัญหาและหวังว่าเขาจะขายได้
ผมไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ ทั้งนั้นในธุรกิจนี้ รายได้เพื่อครอบครัวนี้ที่สู้ชีวิตอันยากลำบากอยู่
ครอบครัวเขามีสูตรโบราณจากถิ่นฐานเดิมที่อยุธยา
รับรองว่าอร่อย และสะอาด มาช่วยกันอุดหนุนครับ
#น้ำพริกแว่นแดง กระปุกละ 160 บาท
1. น้ำพริกเผากากหมู สูตร #เผ็ดเสมอภาค
2. น้ำพริกเผากุ้ง สูตร #เผ็ดเสรีภาพ
ทำสะอาดวัตถุดิบดี ในกระปุกอัดแน่นน้ำมันไม่นอง รสนัว ทานกับข้าวสวยอร่อย ไม่ใส่สารเก็บได้ 1 เดือน
สั่งซื้อได้โดยเมสเสจไปที่เพจ https://facebook.com/WanDaengChilliDip/ หรือสั่งทางไลน์ Khumkhwan44
ก่อนหน้านี้ ก็โพสต์ว่า “มาช่วยกันอุดหนุน น้ำพริกโฮมเมด รส “เผ็ดเสรีภาพ” และ “เผ็ดเสมอภาค” ของผู้ค้าห้างจามจุรีสแควร์กันครับ เศรษฐกิจแบบนี้ ปิดห้างแบบนี้ ผู้ค้ารายย่อยกระทบที่สุดเลย
และก่อนหน้านั้นอีก โพสต์หัวข้อ “น้ำพริกแว่นแดง”
โดยระบุว่า “#น้ำพริกแว่นแดง น้ำพริกเผากากหมู #เผ็ดเสมอภาค กับน้ำพริกเผากุ้ง #เผ็ดเสรีภาพ สูตรโบราณ กระปุกละ 160 บาทเท่านั้น!!”
ตอนนี้ กทม.ประกาศ #ปิดห้างปิดตลาด จากเดิมขายไม่ดีกลายเป็นขายไม่ได้เลย คนขายเสื้อผ้าอย่างเราลำบากมาก ต้องดูแลครอบครัวต่างๆ ตอนนี้เลยต้องตัดสินใจทำน้ำพริกออกมาขาย
มี 2 สูตร น้ำพริกเผากากหมูสูตรโบราณ “เผ็ดเสมอภาค”
และน้ำพริกเผากุ้งสูตรโบราณ “เผ็ดเสรีภาพ”
มีเผ็ดมากด้วยนะครับ สำหรับคนชอบทานเผ็ด สามารถแจ้งทางเพจได้เลยครับ
ราคาเพียง 160 บาท ทำสะอาดวัตถุดิบดี ในกระปุกอัดแน่นน้ำมันไม่นอง รสนัว ทานกับข้าวสวยอร่อย ไม่ใส่สารเก็บได้ 1 เดือน น้ำหนักกระปุกละ 200 กรัม
พร้อมแจ้งวิธีการสั่งซื้อ และชำระเงินเรียบร้อย
สำหรับ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล หรือ แฟรงก์ สำหรับคนที่ยังอาจไม่รู้จักดี นอกจากจะมีบทบาทในการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกิจกรรมนักศึกษา และด้านการศึกษาแล้ว เขายังมีบทบาทเป็นที่รู้จักของสังคมมาอย่างต่อเนื่อง
นับแต่ในเดือน ม.ค. 56 หลังออกรายการโทรทัศน์ช่วงไพรม์ไทม์ ในด้านการศึกษา เขาเสนอให้ลดชั่วโมงเรียนและการบ้าน และเปลี่ยนหลักสูตรให้เน้นความสำคัญของภาษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
เขาบอกว่า เขากลับต้องท่องจำความยาวของแม่น้ำในทวีปแอฟริกา เขาไม่อยากให้นักเรียนนักศึกษามีพิมพ์เดียวโดยเฉพาะพิมพ์ที่ทำตามคำสั่ง
ในเดือน ธ.ค. 56 เนติวิทย์โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณี อั้ม เนโกะ พยายามนำธงดำขึ้นบนยอดเสาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ร้องเพลงชาติทีไรคลื่นไส้ทุกครั้ง
ต้นปี 57 เขาเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐประหารและคณะรัฐประหาร ในเดือน พ.ค. 58 เขาถูกควบคุมตัวช่วงสั้นๆ เมื่อเข้าร่วมการจัดงานไว้อาลัยประชาธิปไตยในกรุงเทพมหานครและจังหวัดขอนแก่น
ในเดือน ก.ค. 59 เนติวิทย์และเพื่อนจำนวน 8 คน ไม่ยอมหมอบกราบต่อหน้าพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยอ้างเหตุผลว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ยกเลิกธรรมเนียมดังกล่าวเอง และเดินออกจากพิธีหลังกล่าวคำปฏิญาณต่อมหาวิทยาลัยและเดินไปโค้งคำนับต่อหน้าพระบรมราชานุสรณ์แทน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บางคนกล่าวว่า จะช่วยจุดประกายการอภิปรายเกี่ยวกับพิธีนี้ ส่วนบางคน เช่น หม่อมเจ้า จุลเจิม ยุคล กล่าวว่า ต้องการให้ช่วยขจัด “มะเร็ง” ออกจากมหาวิทยาลัย
วันที่ 5 พ.ค. 60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี กล่าวเกี่ยวกับกรณีที่เนติวิทย์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ ว่า “เสียดายและเป็นห่วง เพราะเสียชื่อสถาบัน มหาวิทยาลัยนี้คงไม่มีปัญหาความคิดสุดโต่งใช่หรือไม่ ตนขี้เกียจรบกับเด็ก”
เนติวิทย์ จึงถามกลับว่า ใครคือความอับอายของชาติ ประยุทธ์ทำให้ชื่อเสียงของประเทศเสื่อมเสียจากรัฐประหารเมื่อปี 57 ไม่เคารพกติกาของบ้านเมือง ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ และลิดรอนสิทธิมนุษยชนของคนไทยมา 3 ปีแล้ว
วันที่ 27 ม.ค. 61 เนติวิทย์เข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประท้วงต่อต้าน คสช. ที่จัดโดยกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย วันที่ 29 มกราคม คสช. ฟ้องเขาและนักกิจกรรมอีก 6 คน ว่า เป็นผู้นำการประท้วง และกล่าวหาว่าเขาละเมิดพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ต่อมา ศาลปล่อยตัวเขากับนักเคลื่อนไหวโดยไม่มีเงื่อนไข
นอกจากนี้ ในการชุมนุมแฟลชม็อบ ที่สกายวอล์กบริเวณสี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 62 โดยการนัดหมายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีกู้ยืมเงิน จำนวน 191 ล้านบาท
นายเนติวิทย์ โพสต์ข้อความลงบนทวีเตอร์ ว่า “ประเทศไทยยังจะอยู่ในอำนาจนิยมอีกสักระยะ ผมไม่คิดว่าพรุ่งนี้ไปให้กำลังใจคุณธนาธร แล้วพรรคจะไม่ถูกยุบ ไม่ใช่ และไม่ควรคิดด้วย เพราะสุดท้ายไม่ตามหวังเราก็จะหดหู่ซึมเซา ยอมแพ้ เราควรถือว่า พรุ่งนี้เป็นการริเริ่ม ไม่ใช่โดยธนาธร แต่โดยประชาชนที่จะปกป้องกัน เลิกหาฮีโร่มาเซฟ แต่เป็นทุกคน”...
คงจะเห็นแล้วว่า อุดมการณ์ทางการเมืองของเขา แม้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ “ลงตู่” แต่โพสต์ล่าสุดของเขาที่ช่วยขาย “น้ำพริกแว่นแดง” ก็นับว่าน่าสนใจ และน่านับถือในความเข้าใจภาวะวิกฤตที่ทุกคนต้องช่วยกันเอง และช่วยตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ช่วยเหลือ
ต่างจากนักการเมืองบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางพรรค ที่โหนกระแสเล่นการเมือง อย่างไม่ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน ทั้งยังไม่คิดที่จะช่วยอะไรเลย นอกจากช่วยพูดให้สับสนวุ่นวาย จนคนทำงาน ไม่เป็นอันทำงาน รัฐบาลรับศึกหลายด้าน มันน่า..มั้ย?