xs
xsm
sm
md
lg

หน้ากากข้าใครอย่าแตะ อธิบดีกรมการค้าภายในโชว์พาว ประกาศศักดา “จุรินทร์” กางปีกป้อง งานนี้ต้องถึงมือ “ลุงตู่” สยบ **เกิดอะไรขึ้นที่การท่าฯ-การบินไทย สองบิ๊ก “สุธีรวัฒน์-สุเมธ” ไขก๊อก เซ่นโควิด-19 ระส่ำระสายกันไปทั่วน่านฟ้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



**หน้ากากข้าใครอย่าแตะ อธิบดีกรมการค้าภายในโชว์พาว ประกาศศักดา “จุรินทร์” กางปีกป้อง งานนี้ต้องถึงมือ “ลุงตู่” สยบ

เดือดกันปุดๆ ทั่วโซเชียลฯ สุดจะทนกับความห้าวโชว์ศักดาของ “วิชัย โภชนกิจ” อธิบดีกรมการค้าภายใน หลังสมาคมร้านขายยา ที่มีสมาชิกทั่วประเทศหลายพันร้านคู่กรณีเดิม ที่เคยออกแถลงการณ์ฟ้องสื่อมาแล้วว่าไม่ได้รับการจัดสรรหน้ากากอนามัยเลย ใครๆ ก็นึกว่าเรื่องจะจบ จู่ๆ ก็มีประเด็นโพล่งขึ้นมาอีกล่าสุดว่าตัวแทนของสมาคมฯ พยายามประสานกรมการค้าภายใน ขอหน้ากากอนามัยมาให้สมาชิกขาย แต่ถูกกรมฯตั้งแง่ จะส่งหน้ากากให้ก็ได้ แต่ต้องทำหนังสือมาขอโทษอธิบดี ก่อนเพื่อลบล้างข้อกล่าวหาคราวก่อนที่ทำให้กรมฯ เสียหาย

เจอแบบนี้เข้า สมาคมฯ ก็งงว่า ทำผิดอะไรจึงต้องทำหนังสือขอโทษท่านอธิบดี ที่ผ่านมา ได้ส่งผู้ประสานงานไปรอขอความอนุเคราะห์ทุกวัน กลับบ้านดึกดื่น รวมทั้งได้รวบรวมรายชื่อร้านขายยาที่เป็นสมาชิกสมาคมฯมาให้พิจารณาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นที่วิจารณ์ในหมู่สมาชิกสมาคมฯ อย่างกว้างขวาง

เฟซบุ๊ก Teprak Suratannont ของ “เทพรักษ์ สุรทานต์นนท์” ประธานสภาที่ปรึกษาสมาคมร้านขายยา ถึงกับ โพสต์ข้อความตัดพ้อ “ผมผิดไหมที่ปกป้องเกียรติ ศักดิ์ศรีสมาคมร้านขายยา ร้านขายยาทั่วประเทศ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนในประเทศ” และยังคอมเมนต์ว่า... “ผมต้องการให้หน้ากากอนามัยมีขายทั่วประเทศและราคายุติธรรมครับ” ทำให้สมาชิกร้านขายยาทั่วประเทศ กระหน่ำเข้ามาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

งานนี้ไฟต์บังคับ ในเวลาต่อมา “วิชัย โภชนกิจ” อธิบดีกรมการค้าภายใน ออกมาปฏิเสธ ยืนยันได้ว่า ไม่เคยกระทำเช่นนั้น และไม่เคยขอให้สมาคมฯต้องทำหนังสือขอโทษมาก่อน ...เพราะได้พูดคุยกันจบไปแล้ว โดยได้จัดสรรให้ไป 2 สมาคม ซึ่งสมาชิกของสมาคม มีทั้งร้านขายยาทั่วไป และเภสัชกร โดยได้รับจัดสรรแล้วจำนวน 25,000 ชิ้นต่อวัน ถือว่าเรื่องจบไปหลายวันแล้ว ก็ไม่เข้าใจว่า “เทพรักษ์ สุรทานต์นนท์” ประธานสภาที่ปรึกษาสมาคมร้านขายยาได้คุยกับประธานสมาคมฯ หรือไม่

วิชัย โภชนกิจ - จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ใครพูดจริง ใครโกหก เรื่องนี้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รมว.พาณิชย์ มีหน้าที่ต้องทำความจริงให้กระจ่าง อย่าลืมว่า สังคมกังขา ผิดหวังต่อการบริหารจัดการของกระทรวงพาณิชย์สะสมมาตลอดตั้งแต่เกิดไวรัสโควิด โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย แต่ท่าทีที่ผ่านมา หลายๆ เรื่อง “รมว.จุรินทร์” กลับกางปีกปกป้องอธิบดีเต็มที่ คล้ายๆ ประกาศศักดาว่า... หน้ากากข้าใครอย่าแตะ!!

ใครกล้าแตะก็มีอันต้องเจอดี ดูอย่างวันก่อนกรมศุลกากรพลาดท่าให้ข่าวตัวเลขส่งออกคลาดเคลื่อน หน่วยงานรัฐด้วยกันแท้ๆ “วิชัย โภชนกิจ” อธิบดีกรมการค้าภายใน จัดการแจ้งความดำเนินคดีโฆษกกรมศุลกากร ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในข้อหาหมิ่นประมาท และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเรียบร้อย เล่นเอาชาวบ้านถึงกับเพลียหัวใจ... อะไรกันหนักกันหนาประเทศนี้

อธิบดีก็ยืนยันท่านมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะผมเป็นลูกหม้อกรมการค้าภายใน ทำงานบรรจุที่นี่ ไม่ต้องการให้ใครมาทำให้เสียหาย ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีปัญหากับโฆษกกรมศุลกากรเป็นการส่วนตัว แต่ในเมื่อกล่าวหามา ก็ต้องไปแก้ข้อกล่าวหาเอง

เป็นเรื่องศักดิ์เรื่องศรีที่ยอมกันไม่ได้ ประชาชนจะเดือดร้อน จะหาซื้อหน้ากากไม่ได้ จะซื้อได้ในราคาแพงแค่ไหนช่างมันกระนั้นหรือ จะไม่ให้ประชาชนคิดได้อย่างไร หน่วยงานรัฐเอาแต่ห่วงหน้าห่วงตาตัวเอง ทะเลาะกันไปมา อ้างโน่นอ้างนี่ เล่นการเมืองกันจนสถานการณ์เละเทะ

เรื่องทั้งหมดนี้ เอาจริงๆ ตั้งแต่แรกมันไม่ควรจะเกิดเลย ถ้าอธิบดีกรมการค้าภายในจะขึงขังจริงจัง กับการบริหารวิกฤตแบบเห็นแก่ประชาชนเป็นหลัก... ถ้า “จุรินทร์” รมว.พาณิชย์ แสดงให้เห็นว่า พยายามเต็มที่ แทนที่การนิ่งดูดาย ย้อนไปดูไทม์ไลน์จากก่อนที่หน้ากากอนามัยจะเป็นของหายาก จากสต๊อกที่ท่านว่า มีสองร้อยล้านชิ้น มีเพียงพอต่อความต้องการแน่นอน แต่หลังควบคุมเหลือแค่หลักแสน ไปโผล่เมืองจีน ส่งออก กักตุน โก่งราคาขาย กระจายกันในออนไลน์ ลาซาด้า นู่น นี่ นั่น มันก็พิสูจน์ชัดเจนว่า “ล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก” ในการควบคุมดูแล พอสังคมร้องกันมากๆ เข้าก็จับไปวันๆ

เกิดเรื่องกับสมาคมขายยาก็ไม่แปลก เกิดเรื่องทะเลาะกับกรมศุลฯ หรือเกิดเรื่องกับ “บอย ไนท์มาเก็ต” พวกนี้ก็ทำเป็นเรื่องราวเหมือนเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมไปมากกว่าที่จะโฟกัสการทำงานของตัวเองที่ถูกด่าทุกวัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ทางออกการกระจายหน้ากากอนามัยมันมีหลายทาง ยกตัวอย่างเช่น ขาดแคลนมากก็ส่งไปรษณีย์ให้ประชาชนถึงบ้านฟรีๆ ไปเลย จัดให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ได้ก่อน ใครสุ่มเสี่ยงแจ้งมา จัดกันไปแบบพิเศษ ไม่ต้องมารอรถโมบาย ร้านธงฟ้า วางไม่ถึงนาทีหมดเกลี้ยง!! คนเข้าแถวยาวเหยียด ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหนๆ ก็บอกว่าจะเร่งกำลังการผลิตก็จัดการให้เรื่องนี้จบสักที บูรณาการกันระหว่างหน่วยงานแทนการฟ้องร้อง ให้ประชาชนเขาได้พักเหนื่อยบ้างเถอะ

งานนี้คนที่ปวดตับอีกคนคงเป็น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯลุงตู่ หูชาทุกวัน ก็ถ้าปล่อยพาณิชย์เป็นแบบนี้โดยลุงตู่ไม่ลงมาจัดการก็คงจะกู่ไม่กลับแล้วล่ะ ...“อธิบดีวิชัย” อาจจะไม่เหมาะกับการบริหารจัดการวิกฤต แถมบางอารมณ์ก็บันดาลคำพูดทิ่มแทงใจประชาชน ชวนทะเลาะหน่วยงานรัฐด้วยกัน “ลุงตู่ก็ต้องเด็ดขาด” กล้าๆ เอาท่านมาทำงานที่สำนักนายกฯ ใกล้ๆ ตัว ติวกันหน่อย ส่วน “จุรินทร์” รมว.พาณิชย์ ยิ่งต้องรับผิดชอบ “ลุงตู่” ก็ยิ่งต้องรีบสยบ

งานนี้ เพื่อความสงบจำเป็นต้องถึงมือลุงตู่ !!

**เกิดอะไรขึ้นที่การท่าฯ-การบินไทย สองบิ๊ก “สุธีรวัฒน์-สุเมธ” ไขก๊อก เซ่นโควิด-19 ระส่ำระสายกันไปทั่วน่านฟ้า

มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เล่นเอาสะท้านสะเทือนไปตามๆ กัน เมื่อไม่มีใครคาดคิดว่า “น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์” ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง โดยยื่นหนังสือลาออกตั้งแต่ วันที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา มีผลตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. 63 เป็นต้นไป

แว่วว่า ในหนังสือลาออก “น.ท.สุธีรวัฒน์” ระบุสาเหตุว่าเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อการดำเนินการ ทำงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

ข่าววงในบอกว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างรู้สึกเห็นใจ ผอ. เพราะทำงานหนักมาตลอด รับรู้ถึงแรงกดดันในการทำงานรับมือกับวิกฤตไวรัสโควิด และเป็นการส่งสัญญาณไปถึง “นิตินัย ศิริสมรรถการ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. รับรู้ถึงปัญหาด้วย

ว่ากันว่า “น.ท.สุธีรวัฒน์” รู้สึกโดดเดี่ยว ทั้งๆ ที่สุวรรณภูมิเป็นเกตเวย์ด่านสำคัญ หน้าที่ของท่าอากาศยานก็มีภาระหนักหน่วงอยู่แล้วแต่แทนที่หน่วยงานที่ต้องดูแลด้านไวรัสโดยตรง จะทุ่มเทสรรพกำลังมาช่วย กลับปล่อยให้เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รับมือเต็มๆ

จุดพลิกผันที่ว่ากันว่า “น.ท.สุธีรวัฒน์” ท้อใจที่สุดก็คงจะเป็นกรณีรับมือบรรดา “ผีน้อย” ที่ถูกตำหนิว่าไม่มีประสิทธิภาพ

น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ - สุเมธ ดำรงชัยธรรม
เรื่องนี้ มีที่มาจากการตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ( Emergency Operation Center:EOC)เพื่อติดตามประเมินสถานการณ์และปฏิบัติมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางจากประเทศกลุ่มสี่ยง ตามที่มีการประกาศ

ที่ประชุมมีมติให้ ทอท.บริหารจัดการคัดกรองและป้องกันการระบาดจากผู้โดยสารที่เดินทางจากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ วันเสาร์ที่ 7 มี.ค. 63 แต่มี เที่ยวบิน TG651 ซึ่งถึงสุวรรณภูมิ เวลา 12.20 น. ซึ่งเที่ยวบินดังกล่าวมาถึงก่อนเวลาที่ขั้นตอนการดำเนินการคัดกรองแล้วเสร็จ

เนื่องจากที่ประชุมร่วมของทุกหน่วยงานสรุปว่า จะเริ่มดำเนินการขั้นตอนคัดกรอง วันเสาร์ที่ 7 มี.ค. เวลา 21.00 น. ดังนั้นมาตรการคัดกรองจึงเริ่มได้ตั้งแต่เที่ยวบิน ที่มาในเวลา 21.10 น.

การดำเนินงานของศูนย์ EOC อย่างเป็นทางการนั้น สุวรรณภูมิร่วมกับหน่วยงานต่างๆ แต่ได้รับการตำหนิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าไม่ได้รับการติดต่อ และทำให้ศูนย์ EOC ไม่มีประสิทธิภาพ “น.ท.สุธีรวัฒน์” จึงขอลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น
อีกอย่างคงเป็นเจ้าหน้าที่ของสุวรรณภูมิ ที่เริ่มติดเชื้อไวรัส จากการทำงานหนักสองรายล่าสุดด้วย

เมื่อเป็นแบบนี้จึง น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง ฟังว่า “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม พยายามเกลี้ยกล่อมให้ทำงานต่อ ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไป...

ข้ามฟากไปที่ “การบินไทย” เมื่อวานก็เป็นข่าวใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งพิเศษ ที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 63 ได้รับทราบว่า “สุเมธ ดำรงชัยธรรม” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) บมจ.การบินไทย (THAI) ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และกรรมการบริษัท ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาแล้วจึงมีมติให้ลาออกได้ โดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 11 เม.ย. 63 เป็นต้นไป...

ทั้งนี้ ไม่มีการระบุถึงสาเหตุการลาออกจากตำแหน่งของ “สุเมธ ดำรงชัยธรรม” ในครั้งนี้

ว่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้สุเมธ ตัดสินใจลาออกจาก “ดีดี การบินไทย” เพราะทนแรงเสียดทานจากปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายเรื่อง ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง การบินไทยได้ส่งแผนขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่ยังไม่ผ่านการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม รวมถึงแผนฟื้นฟูบริษัท ยังถูกตีกลับไปดำเนินการเพิ่มเติมอีกด้วย

แว่วว่า แม้ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม จะรับทราบ และให้เป็นอำนาจของบอร์ดการบินไทยที่จะพิจารณา แต่ลึกๆ เหตุที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่ “สุเมธ” ไม่ได้รายงานผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ให้เห็นชัดเมื่อคมนาคม พยายามจะช่วยเหลือสายการบินต่างๆ ด้วยการเรียกมาประชุมหาทางเยียวยา แต่ การบินไทยกลับนำไปรวมกับแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

ยิ่งขณะนี้ การบินไทยมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก โดยต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ผ่านวิกฤตไปให้ได้ ความตั้งใจทุ่มเทจึงเป็นเรื่องที่ ดีดีการบินไทย ต้องแบกรับให้ได้

จากการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถึงการบินไทย เกิดขึ้นในเวลาพร้อมๆกัน อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

งานนี้ โควิด-19 พ่นพิษสะท้านสะเทือนไปทั่วน่านฟ้าจริงๆ





กำลังโหลดความคิดเห็น