ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ผีน้อย” หนีโควิด-19 เป็นเรื่องระหว่างประเทศไปแล้ว “ดอน” อย่ามัวโยนกลอง
“ผีน้อย” ชักจะไม่น่ารักเหมือน “ผีน้อยแคสเปอร์” ในการ์ตูนฝรั่งเสียแล้ว เมื่อพบว่า แรงงานไทยที่ลักลอบเข้าไปทำงานโดยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ ที่เรียกกันว่า “ผีน้อย” และต้องการกลับประเทศไทยเพื่อหนีไวรัสโควิด-19 นั้น มีจำนวนมากเกินคาด …ข้อมูลจากทางกระทรวงแรงงาน ก็บอกว่า มีประมาณ 5,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสะสมตั้งแต่ที่เกาหลีใต้ประกาศนิรโทษกรรมให้แรงงานผิดกฎหมายที่ไปรายงานตัว เมื่อเดือน ธ.ค. 2562 เป็นต้นมา และบางส่วนก็เดินทางกลับเข้ามาในประเทศแล้ว ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ และหลังปีใหม่ รวมเดินทางเข้าไทยสะสม 4,727 ราย ยังมีผู้รายงานตัวระหว่างวันที่ 24-28 ก.พ. จำนวน 1,181 ราย ที่อยู่ระหว่างการรอตำรวจตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาประวัติ
นี่เป็นเพียงตัวเลขจำนวนผู้ที่มารายงานตัว ขณะที่จำนวน “ผีน้อย” ที่แท้จริงนั้น มีเท่าไหร่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด บางกระแสบอกว่าอาจจะมีเป็นแสนคน หรือเอาเฉพาะจำนวนคนไทยในเกาหลีใต้ที่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายก็มีประมาณ 30,000 คนแล้ว ในขณะที่การระบาดของเชื้อโควิด-19 กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนยอดผู้ติดเชื้อเกิน 5 พันคน ตายเกือบ 30 คน นี่จึงไม่ใช่สถานการณ์ที่รัฐบาลไทยจะมามัวใจเย็นอีกต่อไป
คนที่จะต้องแสดงบทบาทนำในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ต้องเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างประเทศโดยตรง ... แต่เมื่อฟังจากคำให้สัมภาษณ์ของ “รัฐมนตรีดอน” เมื่อเช้าวานนี้ (3 มี.ค.) ดูเหมือนว่า ท่านกำลังจะ “โยนกลอง” ไปให้กระทรวงสาธารณสุข นักข่าวถามว่ามีคนไทยในเกาหลีใต้ที่ต้องการเดินทางกลับไทยกี่คน ก็ได้คำตอบแค่ว่า มีการพูดคุยกันแล้ว ตนไม่มีรายละเอียด ... ถามว่า จะสามารถให้กลับเข้าไทยได้หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า แล้วแต่กระทรวงสาธารณสุข เรื่องนี้ให้ไปถามกระทรวงสาธารณสุข ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ให้กรมการกงสุลดำเนินการประสานงานกับทางเกาหลีใต้ ...
ตอบแบบนี้ก็ไม่รู้ว่า ความรู้สึกของรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้ “ตายด้าน” หรืออย่างไร มีคนไทยนับแสนคนอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงขนาดนี้ คนเป็นเจ้ากระทรวงที่มีหน้าที่ต้องดูแลคนไทยในต่างแดน “ต้องอยู่ไม่เป็นแล้ว” ต้องรีบประสานกับทางเกาหลีใต้ว่า จะดูแลคนไทยเหล่านั้นอย่างไร ทั้งคนไทยที่เป็นผีน้อย และคนไทยที่เข้าไปอย่างถูกกฎหมาย เพราะต่างก็อยู่ในพื้นที่เสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น !!
สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำอยู่ตอนนี้ มันคือการโยนภาระหนักให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบฝ่ายเดียว ให้ต้องเข้าไปแก้ปัญหา ตอนรับบรรดาผีน้อยเหล่านั้นกลับ แค่จำนวน 5,000 คน รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข “อนุทิน ชาญวีรกูล” ก็แสดงความหนักใจออกมาแล้ว เพราะเป็นจำนวนที่มากเกินคาดหมาย
ลองนึกภาพดู ตอนที่รับคนไทยจากอู่ฮั่น 100 กว่าคน ต้องใช้เวลาทรัพยากรและการจัดการขนาดไหน แล้วถ้าปล่อยให้เข้ามาทีเดียวเป็นหมื่นๆ คน หรือให้ทยอยมาเอง ตัวใครตัวมัน จะไปติดตามดูแลยังไง !!
ถ้า “รัฐมนตรีดอน” คิดเป็น เวลานี้ต้องรีบประสานกับทางการเกาหลีใต้ ให้จัดสถานที่ให้คนไทยไปอยู่รวมกันก่อน เพื่อตรวจคัดกรอง หรือกักกันโรคตามระยะเวลาที่กำหนด ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ แล้วค่อยทยอยไปรับกลับมา จะแบ่งเบาภาระของกระทรวงสาธารณสุข ลงได้อีกโข
ไม่ใช่ว่าจะรังเกียจบรรดาพวก “ผีน้อย” ที่ลักลอบเข้าไปทำงาน จนทำให้คนไทยต้องเสียชื่อเสียง เมื่อไปอยู่ในความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย รัฐบาลก็ต้องดูแล แต่จะปล่อยให้กลับเข้ามาง่ายๆ ให้คนไทยในประเทศต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องเหมือนกัน
ก็จริงอยู่ที่ว่า รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มีอำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 สั่งกักตัวผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 14 วัน ส่วนที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกว่า ไม่มีกฎหมายที่จะเข้าไปควบคุม อาจจะด้วยหลงลืม เพราะไม่ใช่งานที่รับผิดชอบโดยตรง แต่ถ้าจะปล่อยให้เข้ามาก่อน แล้วค่อยใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. สั่งกักตัว 14 วัน แล้วบรรดาผีน้อยกลับเข้าประเทศมาพร้อมๆ กันมากขนาดนั้น สถานที่รองรับก็ไม่มี หมอ พยาบาล ที่จะไปดูแลก็ไม่พอ... ลองนึกภาพว่า จะรับมือกันยังไง
** “ชักธงดำ” ของนิสิตจุฬาฯ กลุ่มหนึ่ง เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าเป็นการแสดงออกที่ได้รับอิทธิพล บ่มเพาะ ปลูกฝัง จากผู้ใหญ่ในสาย “ชังชาติ” ที่ยังไม่หยุดยุยง ปลุกปั่น ให้คนหนุ่มสาวออกมาชุมนุม โดยขาดสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม ที่กำลังต้องเผชิญกับโรคระบาด “โควิด-19”
กรณีโลกออนไลน์แห่แชร์คลิปพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ กลุ่มนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลุ่มหนึ่ง มีพฤติกรรมพยายามจะนำผ้าสีดำ ชักขึ้นเสาธงชาติไทย โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย ได้เข้ามาห้ามปราม ทำให้นิสิตหญิงคนหนึ่งในกลุ่ม ได้กรีดร้อง... ช่วยด้วยๆ พร้อมยืนยันว่า สามารถทำได้ เป็นการแสดงเสรีภาพ ใครๆ ก็ทำกัน เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมกับโวยวายว่า “ไปบอกที่เวที คุณไม่ให้สิทธิ เสรีภาพแก่นักศึกษา ไม่ให้สิทธิเสรีภาพแก่นิสิตจุฬาฯ”
เมื่อเจ้าหน้าที่ถามกลับว่า “ไม่ให้สิทธิเสรีภาพ แล้วทำไมถึงชุมนุมได้” นิสิตหญิงคนดังกล่าวได้ตอบกลับมาว่า ...เขาไม่ได้ให้ แต่ข่าวลง เขาถึงให้ เขาให้แค่ส่วนนึงเล็กๆ ไม่ต่างจากเผด็จการที่ให้เราเพียงเล็กน้อย...
เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 63 ซึ่งในวันนั้น นิสิตกลุ่มหนึ่งได้จัดกิจกรรม “แฟลชม็อบ” ในชื่อว่า “จุฬารวมพล”...โดยหลังเคารพธงชาติ เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ได้นำธงชาติลงจากเสาแล้ว นิสิตกลุ่มดังกล่าวก็พยายามจะเข้าไปชัก “ธงดำ” ขึ้นสู่เสา เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ “ไว้ทุกข์ให้กระบวนการยุติธรรม” หลังจากที่ได้ปราศรัยต่อต้านอำนาจเผด็จการ และกระบวนการยุติธรรม ที่สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่
ก่อนหน้านี้ ก็เคยเกิดกรณี “ชักธงดำ” ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดย “อั้ม เนโกะ” นักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และต่อต้านสถาบันฯ จนในที่สุดต้องเดินทางไกลไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ขณะนี้
พฤติกรรมการแสดงออกด้วยการ “ชักธงดำ” แทนที่ “ธงชาติ” ของนิสิตจุฬาฯ กลุ่มนี้ จึงน่าจะเป็นเรื่องที่ผูกโยง ยืนยันได้ว่า มีการบ่มเพาะ ปลูกฝังจาก “ผู้ใหญ่” ที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดความรู้สึก “ชังชาติ” ... กระทำการ “แสดงออก” โดยไม่นึกถึงเกียรติภูมิของชาวจุฬาฯ เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ที่พวกเขาได้มีโอกาสเข้ามาศึกษา ... และผู้ที่กรีดร้อง โต้เถียงกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่มาขัดขวางการชักธงดำ ก็เป็นถึง “รองประธานสภานิสิตฯ คนที่ 2” ของจุฬาฯ
หลังจากสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ไปในทาง “รับไม่ได้” กับการกระทำของนิสิตกลุ่มนี้ “โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำคนอยากเลือกตั้ง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมเส้นทางกับบรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ในเชิงแก้ต่าง พร้อมขอโทษขอโพย ขอให้เห็นเยาวชนเหล่านี้เหมือนน้อง เหมือนลูกเหมือนหลาน ที่มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ขอให้สังคมให้อภัยกับนิสิตกลุ่มนี้ด้วย หากไม่พอใจในสิ่งที่เขาพยายามทำ...
แต่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล-พรรณิการ์ วานิช” แกนนำ “คณะอนาคตใหม่” ยังคง “เงียบกริบ” ไม่ออกมาพูดถึงการกระทำของนิสิตกลุ่มนี้เลย มีแต่ประกาศจะเดินสายต่อสู้นอกสภา ร่วมกับ นิสิต นักศึกษา คนหนุมสาว ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ...โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สนใจกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังต่อสู้กับโรคระบาด “โควิด-19”
การแพร่ระบาดของ “โควิด-19” กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งทั่วโลก ต่างหวาดผวา เพราะรู้แล้วว่า เชื้อไวรัสนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คน จากการใกล้ชิด สัมผัส ไอ จาม จากการอยู่ในสถานที่ที่มีคนหมู่มาก และยังไม่มียารักษา ...การจัดอีเวนต์ต่างๆ ทั้งด้านบันเทิง กีฬา ที่จะเป็นการรวมคนหมู่มาก ถูกสั่งยกเลิก เพราะเรื่องสำคัญเฉพาะหน้าในขณะนี้คือ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรค ...
แต่ “คณะอนาคตใหม่” กลับยังคงเดินหน้า ปลุกปั่น ยุยง ให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา เยาวชนคนหนุ่มสาว โดยไม่สำนึกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อประเทศชาติ
... จึงอยากจะฝากไปถึง นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่คิดจะจัดการชุมนุม แสดงพลัง เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม... ขอให้หวนนึกถึง “ความรับผิดชอบ” ต่อสังคม ที่เราต้องแสดงออกอย่างจริงใจ ด้วยการพักการชุมนุมไว้ก่อน ...การแสดงความคิดเห็น นั้น สามารถทำกันได้หลายช่องทาง อาจจะแสดงในโซเชียล หรือปรึกษาหารือ หาบทสรุปในข้อเรียกร้อง เพื่อเสนอต่อรัฐบาลโดยตรง หรือใช้ช่องทางรัฐสภาในการแก้ปัญหา ในช่วงที่เรายังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้
รอให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ทุเลาเบาบางลง และควบคุมได้แล้วค่อยจัดการชุมนุมก็ยังไม่สาย จะได้ไม่ต้องพาตัวเข้าไปเสี่ยงกับโรคร้าย... เชื่อเถอะ “รัฐบาลลุงตู่” ยังอยู่อีกยาว... ยังมีเวลาให้ไล่อีกนาน !!