ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ดรามาหน้ากากอนามัย “หมอไทย” ชน “หมอเทศ” และปริศนา “มาสก์” หายไปไหน?
เป็นประเด็นดรามาจนได้ เมื่อเกิดวิวาทะ “หน้ากากอนามัย” คนที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัส “โควิด-19” ควรสวมใส่หรือไม่ ในขณะที่คนในบ้านเราตามล่าหาซื้อหน้ากากอนามัย ที่เรียกสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า “มาสก์” กันจ้าละหวั่น เพราะกลัวว่าจะติดเชื้อไวรัสตัวร้ายชนิดนี้ นั้น ก็มีหมอฝรั่งนามว่า “ศาสตราจารย์ อีไล เปเรนเซวิช” ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และระบาดวิทยาจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยไอโอวา สหรัฐอเมริกา ออกมาให้สัมภาษณ์นิตยสาร “ฟอร์บส์” ของสหรัฐฯ ว่า คนสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก ต่อให้มีผู้ติดเชื้ออยู่ข้างบ้านก็ตาม …
“หมออีไล” บอกอีกว่าไม่ใช่แค่ “ไม่จำเป็น” เท่านั้น ยัง “ไม่ควรใส่” อีกด้วย เพราะไม่มีหลักฐานว่าหน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ เพราะถ้าใส่อย่างไม่ถูกต้องก็จะยิ่งเสี่ยงติดเชื้อเข้าไปอีก... นั่นเพราะคนที่ใส่หน้ากากจะแตะต้องใบหน้าของตัวเองบ่อยขึ้น...
หมอฝรั่งท่านนี้อธิบายอีกว่า ไวรัสโควิด-19 นั้น ติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่ง ไม่ใช่ทางอากาศ ส่วนหน้ากากอนามัย ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ไม่ให้ผู้ใส่แพร่เชื้อโรคไปให้คนอื่น ไม่ใช่เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ตัวผู้ใส่ เพราะฉะนั้นเวลาที่ควรใส่หน้ากากอนามัย คือเวลาที่ผู้ป่วยต้องออกจากบ้าน
นอกจากนี้ การซื้อหน้ากากที่ไม่ได้มาตรฐานมาใส่ หรือใส่ไม่ถูกวิธี หรือทิ้งอย่างไม่ถูกต้อง ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ นอกจากนี้ ยิ่งคนทั่วไปแห่ซื้อหน้ากากมาใส่ ก็จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องการใช้หน้ากากจริงๆ เข้าถึงได้ยากขึ้นด้วย...
“หมออีไล” ย้ำอีกว่า โควิด-19 เป็นไวรัสโรคทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้หมายความว่า มันเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ แต่มันจะเข้าสู่ร่างกายเมื่อมือที่ปนเปื้อนสัมผัสปากหรือใบหน้าเท่านั้น วิธีป้องกันก็คือต้องล้างมือ และอย่าสัมผัสปาก หรือใบหน้าโดยไม่ล้างมือก่อน
คำแนะนำของหมอฝรั่งผู้นี้ ในบางประเด็น ออกจะสวนทางกับความรูัสึกของคนไทยไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าคนที่ยังไม่ติดเชื้อไม่ควรใส่หน้ากากอนามัยนั้น คนที่เป็นหมอเช่นกัน อย่าง “ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เจ้าของนามปากกา “หมอดื้อ” ได้ออกมาแย้ง และยืนยันว่า “คนปกติก็ใส่หน้ากากอนามัยได้”...
“หมอธีระวัฒน์” บอกว่า การที่จะมีผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายออกมาพูดว่า คนปกติไม่ต้องใส่หน้ากากก็ได้ เพราะไม่ได้กันอะไรนั้น ตอบอย่างกำปั้นทุบดินง่ายๆ ต้องถามกลับ หน้ากากอนามัยที่หมอและพยาบาลใส่ในโรงพยาบาลเพื่อกันละอองฝอยจากผู้ป่วยมาเข้าตัวเรา ก็ต้องใส่ ถือว่าเป็นมาตรฐาน ดังนั้น หมายความว่าถ้าประชาชนที่ไม่ได้เป็นหมอ หรือพยาบาล แต่ต้องอยู่ในที่สาธารณะและมีคนอยู่หนาแน่นมีโอกาสที่ได้รับละอองฝอย จากผู้ที่อยู่ข้างเคียงเข้าเยื่อบุปาก จมูก (โดยที่ต้องระวังเยื่อบุตาด้วย) โดยคนที่อยู่ข้างเคียงเราในระยะ 1-2 เมตร อาจมีติดเชื้อและแพร่ได้ ดังนั้นจะไม่ให้ใส่หรืออย่างไร? แต่ในกรณีของประชาชนนั้นใส่หน้ากากผ้าหนาๆได้ เพื่อซักใช้ซ้ำ ยกเว้นตนเองไม่สบาย ต้องใส่หน้ากากอนามัยแบบมีชาติตระกูลหน่อย
แพทย์ระดับผู้เชี่ยวชาญเห็นไปคนละทางแบบนี้ คนธรรมดาอย่างเราๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องเชื้อโรคอะไรอย่างลึกซึ้ง จะเลือกเชื่อใครดี แต่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงจะเลือกเชื่อหมอไทย และยังอยากจะขวนขวายหาหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน ...
ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลล่ะ ต้องใช้อำนาจบริหารจัดการให้ประชาชนได้ซื้อหาหน้ากากอนามัยกันได้อย่างทั่วถึงในราคาที่สมเหตุสมผล ... เห็นว่าตอนนี้ หน้ากากอนามัยขาดแคลนอย่างหนัก มีคนกักตุนไว้ขายกล่อง 50 ชิ้น ราคาขึ้นไปถึงกล่องละ 800 บาท ถึง 1,000 กว่าบาท ทั้งที่ต้นทุนแค่ชิ้นละบาทเดียว ...
วันก่อนเห็นท่านรัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ไปเยี่ยมโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย แล้วบอกว่า “ไม่ขาดแคลนแน่นอน” ชาวบ้านอย่างเราก็มึนตึ้บ ไม่ขาดแคลนยังไง หาซื้อที่ไหนก็ไม่ได้ ซ้ำโดนโก่งราคาขูดเลือดซิบๆ แบบนั้น แล้วกฎหมายเรื่องห้ามกักตุนสินค้า หรือ เรื่องค้ากำไรเกินควร ต้องเอามาใช้ให้เด็ดขาด เมื่อวานเห็นว่ามีการจับกุมไปแล้ว 51 ราย ทั้งผู้ค้าออนไลน์ และผู้ค้าทั่วไป 31 ราย แต่ก็ยังมีการกักตุนและโก่งราคากันอยู่...
ก็ขอให้กำลังใจทั้ง “หมอหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” และ “หมอตี๋-สาธิต ปิตุเตชะ” แก้ปัญหานี้ให้ได้แบบสะเด็ดน้ำโดยเร็ว ที่แจกฟรีวันละ 1 แสนชิ้น ที่กระทรวงสาธารณสุข มันแก้ได้แค่เฉพาะหน้า แถมโดนด่าซะอีก ให้ชาวบ้านถ่อสังขาร ฝ่ารถติดไปรับแจกหน้ากากอนามัยแค่ 3 ชิ้น เอาเป็นว่าให้เขาหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ง่ายๆ ตามร้านใกล้บ้านในราคาที่ไม่โดนขูดรีด จะดีกว่า !!
** “ธนาธร” กระตุ้นแฟลชม็อบนิสิต นักศึกษา แนะอ่านหนังสือ “จากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย” เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อน ... “ชูวิทย์” ทนไม่ไหว ต้องออกมาส่งข้อความสุดท้ายถึงธนาธร
ปรากฏการณ์ “แฟลชม็อบ” ของบรรดานิสิต นักศึกษาที่ออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาล รวมถึงความไม่เป็นธรรมในสังคม ที่กำลังขยายตัวออกไป ทำให้หลายฝ่ายอดมองดูด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
ในด้านการเมืองนั้น เป็นห่วงว่า “พลังบริสุทธิ์” ของคนหนุ่มสาว จะถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองฝ่ายที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาล ปลุกปั่น ยุยง จนนำไปสู่การละเมิดกฎหมาย และบานปลายไปสู่ความรุนแรง
ขณะเดียวกัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็กำลังเป็นปัญหาใหญ่ ที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนของสังคม กำลังวิตกว่าการชุมนุม หรือการอยู่ในกลุ่มคนหมู่มาก จะยิ่งมีส่วนในการแพร่กระจายของโรคไปในวงกว้าง ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
มีสมาชิกรัฐสภาหลายท่าน ได้เสนอว่าให้นำปัญหา ความต้องการและข้อเรียกร้องของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ เข้าไปแก้ไขในสภาฯ เพื่อเป็นการ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ในผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นทั้งในด้านการเมือง การป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ด้วยการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อรับฟังความเห็น และจะนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอก เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อหาทางออกร่วมกัน ของทุกรุ่น ทุกฝ่าย ... หรือถ้าเห็นว่าต้นเหตุของความไม่เป็นธรรม อยู่ที่รัฐธรรมนูญ สภาฯก็มี กมธ.วิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์แนวทางแก้ไข รธน.อยู่แล้ว จึงคิดว่าใช้ช่องทางนี้ได้
แต่ผู้ที่หันมายึดแนวทางการต่อสู้นอกสภาฯ หลังถูกยุบพรรค อย่าง "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ย่อมไม่เห็นด้วย...เขาได้โพสต์เฟซบุ๊ก กระตุ้นว่า...ไม่เคยมีใครคิดว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา จะเป็นตัวจุดชนวนความไม่พอใจของคนจำนวนมาก ให้ระเบิดออกมาเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่พอใจต่อสภาพการเมืองการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้เผด็จการที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน คนจำนวนมากจึงตัดสินใจว่า พวกเขา-พวกเรา จะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป และได้ออกชุมนุมกันอย่างเป็นจริงเป็นจังในช่วงนี้ ...แต่การโค่นล้มเผด็จการที่ฝังรากลึกมายาวนาน ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องศึกษา หาองค์ความรู้ เครื่องมือ เทคนิค วิธีการ เพื่อมาต่อกรกับเผด็จการ
แล้ว "ธนาธร" ก็แนะนำหนังสือชื่อ "จากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย" หรือ From Dictatorship to Democracy ของ "ยีน ชาร์ป" ผู้ที่ศึกษาและเขียนงานจำนวนมากเกี่ยวกับแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการ ... "ธนาธร"เปรียบเปรยว่า ถ้าเป็นหนังสือเรียน ก็คือวิชา "ต่อสู้เผด็จการ 101" ที่ทุกคนต้องอ่าน แถมรับประกันอ่านแล้วจะวางไม่ลง ...
กับบทบาทการต่อสู้นอกสภาฯของ "ธนาธร" ในครั้งนี้ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊ก จั่วหัวว่า "ข้อความสุดท้าย ถึง...ธนาธร" เป็นการเตือนในฐานะนักการเมืองรุ่นพี่
"ชูวิทย์" บอกว่าไม่มีทางลัดในการเมืองฉบับประชาธิปไตยของไทย ...การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณใฝ่ฝัน เพราะบทเรียนในสภาฯ ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา น่าจะบอกได้ว่า "อย่าไว้ใจใคร" แม้แต่มิตรการเมือง ก็พร้อมหักหลังคุณได้ทุกเมื่อ...
...วันนี้เสียดายว่าความฝัน ความทะเยอทะยานของคุณได้สิ้นสุดไปอย่างง่ายดาย และรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะความที่ยังไม่ประสีประสาการเมืองมากพอ และก้าวเดินเร็วเกินไป จนสะดุดล้ม ทำให้คุณพลาดไปอย่างน่าเสียดาย ...จะว่าไปแล้วไม่ได้มีใครไปหยุดฝันของคุณ แต่เป็นเพราะตัวคุณเองแท้ๆ ที่ไม่ย้อนศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้ดีเสียก่อน... แต่ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
การที่คุณขออาสาต่อสู้นอกสภาฯ ทำหน้าที่รณรงค์ทางความคิด ต่อต้านระบอบเผด็จการร่วมกับประชาชนให้ถึงที่สุด นับเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญหาคือ..."เมื่อคุณพลาดเกมการเมืองไปแล้ว อะไรทำให้คุณมั่นใจว่า ประชาชนยังเชื่อใจให้คุณไปขับเคลื่อนนอกสภาฯ อีก?"
ก็ขนาดบรรดา อดีต ส.ส. สมาชิกพรรค ที่คุณปั้นขึ้นมาเองกับมือแท้ๆ ยังหักหลังทรยศคุณได้ ... แล้วคนที่เคยเลือก" พรรคอนาคตใหม่" ต้องการให้พวกคุณเข้าไปต่อสู้กับเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่กลับเป็นว่า ส.ส.ของคุณ ไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนรัฐบาล เป็นค้ำยันนั่งร้าน ให้กับการสืบทอดอำนาจเสียเอง ...แล้วอย่างนี้ คุณจะเอาหลักประกันอะไร ให้พวกผมไปเชื่อคุณอีกเล่า !
แล้วไฉนคุณถึงกล้ามาเสนอหน้าต่อสู้เคลื่อนไหวนอกสภาฯ ร่วมกับนักศึกษา และประชาชน? ...ถามจริงๆวันนี้คุณยังเหลือความมั่นใจไปบอกประชาชนอีกหรือ ?
ผมในฐานะนักการเมืองเก่ารุ่นพี่ จากประสบการณ์ที่ผ่าน เห็นการเมืองมาตั้งแต่ 6 ตุลาฯ ที่บางคนยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ จนถึงวันนี้ ยังติดตามการเมืองอยู่ ขอบอกคุณได้เลยว่า ... นักการเมืองที่ไม่มีความสามารถล้มรัฐบาลในสภาฯ แล้วอาศัยการเมืองนอกสภาฯ แอบอิงพิงหลังพลังบริสุทธิ์อย่างประชาชน เรียกร้องทำตัวเป็น“ฮีโร่”เป็นเรื่องน่าอับอายที่สุด
แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างเรายังสู้ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไร ถึงต้องไปยุเด็กให้ไปต่อยกับผู้ใหญ่แทน ...
หยุดการยุยง ส่งเสริม สนับสนุน ปลุกระดม ลดความอยากเด่นอยากดังของคุณ แล้วให้พวกเขาเรียนรู้หน้าถัดไปของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในการต่อสู้กับเผด็จการด้วยตัวเองเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้น สิ่งที่จะเลียนแบบเอาอย่างคุณได้ ตอนนี้ก็ได้แต่ตะโกนผ่านไมค์ ปลุกเร้าว่า"เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"
ถ้ามันง่ายอย่างนั้น ประเทศไทยคงไม่มีรัฐประหารมาถึง 13 ครั้ง อย่างนี้หรอกครับ ...เหล่านี้ คือข้อความสุดท้ายที่"ชูวิทย์" ส่งถึง"ธนาธร"
ในมุมของรัฐบาลนั้น คงยังไม่ไปปิดกั้นการชุมนุม การแสดงออกของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ขอเพียงให้อยู่ในรั้วสถาบันฯ ไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และคงไม่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพราะมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมในที่สาธารณะอยู่แล้ว ...ที่สำคัญคือ ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้คือการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส "โควิด-19" ...ขณะเดียวกันก็ให้สังคมเป็นผู้ตัดสินว่า การชุมนุมในระหว่างที่มีการแพร่ระบาดของโรคเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม ควรแก่เหตุหรือไม่ !!