เมืองไทย 360 องศา
หากเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล(วิปรัฐบาล) และวิปฝ่ายค้านที่จะมีการลงมติในญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 6 คนในวันนี้ (28 กุมภาพันธ์ ก็น่าจะประเมินกันล่วงหน้าว่าฝ่ายรัฐบาลน่าจะผ่านหรือชนะไปได้อย่างฉลุย
สาเหตุที่ต้องประเมินกันแบบนั้นก็เนื่องมาจากเสียงของฝ่ายรัฐบาลห่างจากเสียงของฝ่ายค้านมากถึง 39 เสียง หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้มี ส.ส.ในสังกัดพรรคดังกล่าวต้องสิ้นสภาพไปทันที 11 คน นอกเหนือจากนี้หลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้วก็ยังมี ส.ส.จากอดีตพรรคดังกล่าวย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลจำนวน 9 คน ถือว่ามาเพิ่มเสียงให้กับฝ่ายรัฐบาลมากขึ้นไปอีก
ประกอบกับการอภิปรายของบรรดาพรรคร่วมฝ่ายค้านตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถือว่า “ต่ำกว่ามาตรฐาน” ไม่มีหลักฐานเด็ดที่พอจะเป็น “หมัดน็อก” ฝายรัฐบาลได้เลยแม้แต่น้อย เรียกว่า “ไม่ระคายผิว” ส่วนใหญ่เนื้อหาที่นำมาอภิปรายล้วนเป็น “โวหาร” เป็นเพียงข้อกล่าวหา โดยปราศจากหลักฐานที่ชัดเจน หรือที่เรียกว่า “ใบเสร็จ” ที่สร้างความนาเชื่อถือได้เลย ทำให้มองว่าการอภิปรายของฝ่ายค้านคราวนี้ไม่ต่างจาก “กระทู้ถามสด” เท่านั้น
อีกทั้งบรรดา “ขุนพล” ที่เรียงหน้ามาอภิปรายก็ล้วนแล้วแต่ไม่น่าสนใจ ไม่สามารถจูงใจหรือนำหลักฐานมาสะกดให้ชาวบ้านสนใจติดตามเหมือนเช่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในอดีต ส่วนใหญ่จึงเห็นแค่ลีลาการประท้วงของทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดบรรยากาศน่ารำคาญที่มีแนวโน้มมีมากขึ้น
สำหรับรัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลจำวน 6 คนประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ร.อ.ธรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ด้วยจำนวนคะแนนเสียงของฝ่ายรัฐบาลที่มีจำนวนมากกว่าฝ่ายค้านแบบ “ห่างกันมาก” ประกอบกับเนื้อหาของฝ่ายค้านที่นำมาอภิปรายนั้นไม่ถือว่าเป็นหลักฐานเด็ดตามที่โหมโรงคุยโม้เอาไว้ มันทำให้การซักฟอกคราวนี้แทบจะไม่ระคายผิวฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล
แม้ว่าในการอภิปรายของฝ่ายค้านตลอดสองวันที่ผ่านมาฝ่ายค้านจะเน้นเป้าไปที่ตัว “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ที่ถือว่าโดนถล่มอย่างหนัก แต่ก็อย่างว่านั่นแหละในเมื่อเนื้อหาไม่หนักแน่น ประกอบกับมีการลุกขึ้นชี้แจงแบบทุกเม็ดแลกกันแบบหมัดต่อหมัด ที่สำคัญคราวนี้มีการเตรียมตัวมาดีในแบบ “ลุ๊คใหม่” ควบคุมอารมณ์และมีการปรับคำพูดให้ช้าลงและฟังง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับการอภิปรายในสภาครั้งก่อนๆ
ดังนั้นหากประเมินตามสถานการณ์และบรรยากาศที่เป็นอยู่ถือว่าฝ่ายค้านยังอภิปรายได้ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” ไม่มีหมัดเด็ดหรือ “ใบเสร็จ”ที่ทำให้น็อกรัฐบาลให้หงายหลังลงไปได้เลย ทำให้มั่นใจว่า “ศึกในสภา” ผ่านฉลุยค่อนข้างแน่
อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าติดตามมากกว่าก็คือ “เกมนอกสภา” ที่ถือว่าน่าจับตามมากกว่า ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ “ต่อเนื่อง” กันมาจากการเมืองในสภาและการยุบพรรคอนาคตใหม่นั่นแหละ โดยเฉพาะที่กำลังการเคลื่อนไหวชุมนุมของบรรดา “เด็กๆ” นักเรียน นักศึกษาตามสถาบันการศึกษาหลายแห่งออกมาคัดค้านการยุบพรรคดังกล่าว มีการให้เหตุผลในแบบพิลึกว่ามีคนเลือกพรรคนี้มากว่า 6 ล้านคนแต่มีคนแค่ 7 คน(ตุลาการฯ)มายุบพรรคถือว่าไม่ยุติธรรมและชอบธรรม เป็นต้น จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “ไฟลามทุ่ง”
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวของบรรดานักศึกษาดังกล่าวเป็นลักษณะของความชอบ ความรู้สึกส่วนตัวหรือการเชียร์แบบ “แฟนคลับ” ที่ไม่ได้พิจารณาถึงเหตุผลที่มีคำวินิจฉัยของศาลว่ามีความผิดตามกฎหมายกี่มาตรา และอย่างไรบ้าง มีรายละเอียดอธิบายอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามีการเปิดใจยอมรับฟังกันหรือไม่เท่านั้นเอง
ขณะเดียวกันหากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งในทางการเมืองย่อมมองออกว่านี่คือเป็นส่วนหนึ่งใน “เกมเสี้ยม” ของบางกลุ่ม โดยเฉพาะสายตาที่เพ่งมองไปที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กับพวกที่เป็นเครือข่ายสนับสนุนที่อยู่ในสถาบันการศึกษาต่างๆหลายแห่ง
อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งหากพิจารณาในมุมของฝ่ายอำนาจรัฐที่ถือว่ามีการ “ยืดหยุ่น” แก้เกมมาอย่างดีเช่นเดียวกัน นั่นคือ ไม่พยายามสร้างเงื่อนไขให้เกิดกระแสความไม่พอใจให้เกิดการชุมนุมขยายวงกว้างออกไปข้างนอกจนเหนือการควบคุมอย่างที่บางฝ่ายมีคามพยายามต้องการให้เป็น
ที่ผ่านมา ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯที่บอกว่า จะไม่ขัดขวางการชุมนุมของ บรรดานักศึกษา เพราะถือเป็นเสรีภาพ สามารถทำกิจกรรมได้ เพียงแต่ว่าอย่าทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ “สถาบันฯ” ก็แล้วกัน พร้อมกับเตือนถึงเรื่องคดีความที่อาจตามมาในอนาคต
ดังนั้นเกมนี้แม้ว่าจะมีความพยายามจะลากออกมานอกสภา โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของบรรดานักเรียน นักศึกษาตามสถาบันการศึกษาต่างๆในเวลานี้ แต่เมื่อพิจารณาตามบรรยากาศแล้วก็ต้องปล่อยให้แสดงออกกันอย่างเต็มที่แต่อยู่ในกรอบ ขณะที่ฝ่ายรัฐก็เข้าใจสถานการณ์ไม่สร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมเหมือนแบบ “เติมเชื้อไฟ” มันทำให้งานนี้หากใครมองว่า “เกมเสี้ยม”ของใครบางคนที่อยู่ข้างหลังเด็กๆพวกนี้ก็ต้องลุ้นกันเหนื่อยแน่นอน !!