นายกฯ เผยสั่งผู้ว่าฯ-หน่วยงานเกี่ยวข้อง สอบข่าวคนจีนป่วยโควิด-19 ลอบเข้ารักษาตัว รพ.ชายแดน ลั่นพบสั่งดำเนินคดี กำชับคัดกรองรัดกุมทุกช่องทาง แจงเตรียมมาตรการระยะ 3 เพื่อป้องกันหากเกิดแพร่ระบาดในอนาคต ขออย่าตื่นตระหนก
วันนี้ (24 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีข่าวคนจีนที่ป่วยจากไวรัสโควิด-19 จ้างคนไทยพาลักลอบเข้ามาช่องทางธรรมชาติเพื่อมารักษาในโรงพยาบาลชายแดนไทยว่า วันนี้ได้สั่งผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแล้ว หากใครเกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย อีกทั้งเรามีนโยบายที่รัดกุมตรวจสอบคัดกรองการเข้าออกทุกด่านอย่างที่ตนย้ำไปแล้ว ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ช่องทางธรรมชาติ ย้ำทุกกองกำลังจะต้องนำเข้าสู่กระบวนการคัดกรองตรวจสอบ ผิดกฎหมายต้องส่งกลับ วันนี้กองทัพบกได้เสริมกำลังทหารไปช่วยคัดกรองด้วย ขณะนี้ได้รับรายงานจากระทรวงสาธารณสุขที่มีการตรวจผ่านโรงพยาบาลในพื้นที่ก็ยังไม่พบการติดเชื้อ
เมื่อถามว่า กรณีที่ประเทศเกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบก้าวกระโดด ในส่วนของไทยจะดำเนินการอย่างไรบ้าง จะถึงขั้นมีมาตรการห้ามคนไทยไปเกาหลีใต้ในช่วงนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้เราถึงมีมาตรการรองรับในระยะที่ 3 คำว่าก้าวกระโดดก็คือระยะที่ 1 เมื่อเกิดเหตุการณ์ระบาดเกิดขึ้นมีมาตรการอย่างไร คัดกรองอย่างไร ระยะที่ 2 ติดเชื้อมาจากประเทศต้น ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด ตอนนี้เราดำเนินการในระยะที่ 1 และ 2 ส่วนระยะที่ 3 มาตรการรองรับกรณีที่มีการแพร่ระบาดของคนในประเทศ วันนี้เราได้มีการประชุมไว้ล่วงหน้าแล้วจะมีมาตรการอย่างไรบ้าง บางอย่างเข้มงวดมากขึ้น วันนี้มีการประชุมที่กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มเติมว่าจะทำอย่างไร โดยให้นำ พ.ร.บ.โรคติดต่อมาดูว่าดำเนินการครอบคลุมหรือยัง ซึ่งครอบคลุมโรคติดต่ออยู่ 13 ชนิด ซึ่งก็ไม่มีอะไร ไม่ได้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก แต่ควรมีกฎหมายอะไรรองรับหรือไม่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวกขึ้น ไม่ได้หมายความว่าให้ประเทศตื่นตระหนก เพราะยังไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่ต้องกฎหมายให้รัดกุม ทั้งเจ้าหน้าที่ องค์การอาหารและยา (อย.) เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้รับการดูแลเพื่อระมัดระวังการแพร่กระจายในประเทศ
นายกฯ กล่าวว่า หลายคนบอกว่าบิดเบือนจำนวนตัวเลขผู้ที่ติดเชื้อหรือไม่ วันนี้ยังยืนยันตัวเลขเดิมอยู่ แต่ในส่วนที่ครอบคลุมก็ประมาณ 1,000 คน ต้องอยู่ในมาตรการต้องติดตามซึ่งยังตรวจสอบไม่พบ จึงต้องตรวจสอบเป็นระยะ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกแล้วกัน เมื่อถึงระดับนั้นเราต้องมีมาตรการที่เข้มงวดต่อไป วันนี้หากเราพูดดอะไรไปที่เกินเลยไปมากๆจะมีผลเสียต่อการเดินทางไปมาหาสู่กัน มีผลต่อการท่องเที่ยว ซึ่งเราก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว แต่เมื่อมีความจำเป็นต่างๆ เราก็ต้องมาตรการรองรับก็ขอให้ทุกคนป้องกัน
เมื่อถามว่าที่มีข่าวออกมาว่ารัฐบาลเตรียมประกาศไวรัสโควิด-19 เป็นโรคร้ายแรง จะเป็นการยกระดับไปในขั้นที่ 3 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงไม่ใช่ เป็นเรื่องของการจะประชุมหารือกัน การยกระดับ พ.ร.บ.โรคติดต่อยังมีไม่ครบ จึงต้องหารือว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาหรือไม่ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญสุดเราต้องเตรียมมาตรการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีการดูแลได้มากยิ่งขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับการผลิตหรือทดลองยาเวชภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็น ไม่ได้หมายความว่ามันมากขึ้น มันคนละประเด็น ขอชี้แจงด้วย อย่าไปบิดเบือนแล้วกันได้ไหม หลายเรื่องๆ บางทีคนไม่เข้าใจ แต่ตนก็ทราบเป็นความหวังดี ตนไม่ว่าท่านจะคิดอะไรก็ได้ แต่ท่านต้องกรุณาฟัง และหาข้อเท็จจริง หลักการ และเหตุผลมาเสริมด้วย คิดเองเออเองบางทีไม่ได้ ทำงานลำบาก เพราะเราทำงานกับคนหมู่มาก ตั้ง 68 ล้านคน เราต้องคำนึงถึง 68 ล้านคน จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน เพราะไม่ได้ติดโรคกันทุกคน เราก็ต้องมีมาตรการคุ้มครองดูแล คัดกรองคนที่มีข้อสงสัยว่าจะมีเชื้อ แต่วันนี้เราก็ได้รับคำชื่นชมจากต่างประเทศพอสมควร ในการควบคุม ในการดำเนินการมาตรการต่างๆได้รับการยอมรับจากต่างประเทศหลายประเทศเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่า การเตรียมการไว้เพื่อประกาศมาตรการระยะที่ 3 เพื่อให้สามารถในการใช้กฎหมายได้เพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า หมายถึงว่าให้มีรองรับ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาในวันข้างหน้าแล้วจะทำอย่างไร ตนพูดถึงเพื่ออนาคตไม่ใช่เพราะวันนี้สถานการณ์รุนแรงขึ้น แต่เหมือนเป็นการป้องกันอย่างโรคซาร์ส โรคเมอร์
เมื่อถามถึงผลกระทบกับผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียนที่ส่งไปประเทศจีนไม่ได้ จะมีมาตรการรองรับอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาไม่ให้เอาเข้า แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องเจรจาหารือกันต่อไปว่าจะทำอย่างไร มีมาตรการอย่างไรก็ต้องหารือร่วมกัน และต้องตรวจสอบว่าจะทำอย่างไรต่อไป ล็อตแรกหากเสียหายจะทำอย่างไร และล็อต 2 ทำอย่างไรจะให้ส่งได้ มันต้องใช้หลักการทางการแพทย์ด้วย ทุกอย่างต้องเจรจาเพราะมีหลายประเทศเกี่ยวข้องด้วยกัน
นายกฯ กล่าวต่อว่า ปัญหานี้รัฐบาลทราบแต่ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหาและเยียวยาที่เหมาะสม ทุกเรื่องมันได้รับผลกระทบหมด วันนี้หาก พ.ร.บ.งบประมาณฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว อะไรๆ ก็คงจะดีขึ้น ทั้งนี้ ในการใช้มาตรการต่างๆ เรามีมาตรการเยอะแยะทั้งทางเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว เรื่องฐานรากและเรื่องการดูแลเกษตรกรเกี่ยวกับภัยแล้งที่ต้องรอเงินทั้งหมด วันนี้แผนงานก็เตรียมไว้แล้ว ซึ่งหลังจากการอภิปรายไปแล้วก็คงจะหารือ และมีการประชุมใน ครม.
“ผมให้ทุกกระทรวงรวบรวมมาให้แล้ว เพื่อให้ตรงกับความต้องการของทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ และประชาชนเฉพาะกลุ่ม เหล่านี้มีหมด ซึ่งต้องใช้เงินมากพอสมควร ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก แต่ก็จำเป็นที่ต้องมีกติกามีกฎหมาย รองรับทั้งหมด ที่สำคัญต้องถึงมือประชาชนโดยตรงให้มากที่สุด”