เรียงหน้าออกมาโต้ “ปิยบุตร” กรณีขู่ผลร้าย 3 เรื่องจะเกิดขึ้นกับสังคมไทย หากยุบ “ส้มหวาน” อุ๊-หฤทัยแนะทบทวนตัวเอง แม้แต่ “ทักษิณ” ยังแพ้ “พี่ศรี” ระบุ 3 ผลดีตรงข้าม “3 ผลร้าย” สิ้นเชิง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(18 ม.ค.63) เฟซบุ๊ก Haruthai Muangbunsi ของ นางหฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ อุ๊ นักร้องชื่อดัง โพสต์หัวข้อ “(อ่านนะคะ อย่าดูแต่ภาพที่โพสต์)”
โดยระบุว่า “ทักษิณเคยทำมาแล้ว ทักษิณเคยรวมกลุ่มการเมืองทั้งอดีตแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งตำรวจเสื้อแดง(ตำรวจมะเขือเทศ)ทหารเสื้อแดง(แตงโม) ผู้นำชุมชน ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นนำคนมาทั่วทั้งประเทศ ใช้เงินทุนมหาศาลในการทำม็อบ คือส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งคือ นักการเมือง นักวิชาการหัวเอียงซ้าย(ทำหน้าที่ล้างสมองนักศึกษาในมหาวิทยาลัย)ตำรวจทหารที่ถูกซื้อไป รวมทั้งคนรักทักษิณจากการปลุกระดมโดยผู้นำท้องถิ่น อำนาจของทักษิณที่นโยบายใช้ภาษีของรัฐ จัดตั้งกองกำลังเพื่อพลิกฟ้าคว่ำดิน ทักษิณมีกองกำลัง มียุทธวิธีที่ชัดเจน(กุนซือระดับขั้นสุดยอด)มีมวลชน มีเงินทุนหมุนเวียนหล่อเลี้ยงม็อบ
ทักษิณก็ยังแพ้ และทักษิณทำอะไรไม่ได้เลย เหตุผลเพราะว่าอะไร เอ็งไปทบทวนดูใหม่ จิตวิญญาณของคนไทยคืออะไร?
ผืนแผ่นดินไทยนี้ ถ้าไม่มั่นคงจริงๆ บรรพบุรุษพวกเอ็งคงหามีที่อยู่โดยอุดมสมบูรณ์ไม่ แผ่นดินไทยเป็นไทได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เพราะองค์ประกอบหลายๆด้านที่ต่างชาติในโลกนี้ไม่เคยมี เอ็งคิดยังไงก็คิดไม่ออก เพราะเอ็งใช้ตำราคิด ถ้าเอ็งใช้หัวใจของคนไทยคิด เอ็งจะคิดได้ ทางเดียวที่ดีที่สุดคือ คิดด้วยจิตใจและจิตวิญญาณความเป็นไทย เอ็งจะพบคำตอบที่ไม่เคยอ่านเจอในตำรามาก่อน และไม่ต้องมาเสียเวลาตั้งคำถามอะไรแบบนี้อีก กลับบ้านไปคิดใหม่นะ ขอให้เอ็งพบคำตอบและพบกับความหมายของคำว่า โชคดีมีสุข...
วันนี้เช่นกัน เฟซบุ๊ก ศรีสุวรรณ จรรยา ของ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์เฟซบุ๊กโต้แย้งความเห็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ว่าหากยุบพรรคอนาคตใหม่ จะเกิดผลร้าย 3 ด้านต่อสังคมไทย
เนื้อหาระบุว่า “กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยคดีอิลลูมินาติ คือข้อกล่าวหาว่าธนาธร และพลพรรคอนาคตใหม่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และคดีอื่นๆ ที่กำลังตามมาอีกหลายคดี ตามที่ กกต. ได้ส่งคำร้องให้ศาลวินิจฉัยนั้น
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ จะเกิดผลต่อสังคมไทยใน 3 ประการ คือ
1)การยุบพรรคอนาคตใหม่ จะทำลายความหวังและความฝันของคณะกรรมการบริหารพรรคนี้ทั้งหมด เพราะต้องถูกเว้นวรรคทางการเมืองไปหลายปี ส.ส.และนักการเมืองในพรรคจะมีโอกาสขึ้นมานำพรรคได้บ้าง และทำให้นักการเมืองระมัดระวังตนเองมากขึ้น ไม่ให้ซ้ำรอยเดิม
2)เกิดความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ ไม่มีใครมายุแยงแบ่งแยกกันของช่วงวัย ช่วงอายุของคนในสังคมเกิดการผสมผสานระหว่างวัยมากขึ้น หรือที่เรียกว่า “Combination of ages” ที่จะลดความแตกแยกขัดแย้งกันลงมาได้
3)ที่สำคัญที่สุด นี่จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ จะถูกปกป้องโดยศาลและประชาชน ที่จะมิให้ผู้ใดนำมาเป็นเครื่องมือกล่าวหาในทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนจำนวนมากในสังคมที่เคารพรัก เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้คลายความกังวลลงอย่างมาก นี่คือผลดีที่บางคนไม่รู้ตัว หรืออาจรู้แต่ไม่สนใจก็ได้
ทั้งนี้ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์คลิป ผลกระทบร้ายแรงของคดีล้มล้างการปกครอง หรือ คดี ‘อิลลูมินาติ’ ลงในเพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul เมื่อเช้าวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา
โดยนายปิยบุตร อธิบายความเป็นมาของคดี ที่นายณฐพร โตประยูร ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวหาว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่, นายปิยบุตร, และพรรคอนาคตใหม่ มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรรมนูญเพื่อขอให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญจะมีการอ่านคำวินิจฉัยวันที่ 21 ม.ค. นั้น
“ถ้าเราลองอ่านดูมาตรา 49 จะพบว่า มาตรานี้ไม่ใช่เหตุแห่งการยุบพรรค แต่เป็นเรื่องของคนที่ใช้เสรีภาพเป็นการล้มล้างการปกครอง ถ้าศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีบุคคลที่ใช้เสรีภาพในการล้มล้างจริง ก็จะมีคำสั่งให้เลิกการกระทำนั้น ยกตัวอย่างเช่น มีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าการชุมนุมหนึ่งเป็นการล้มล้างการปกครอง ถ้าเห็นแบบนั้น ก็จะสั่งให้เลิกการชุมนุม
มาตรา 49 ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการยุบพรรค และเมื่อไปอ่านคำร้องและคำแถลงปิดคดีของนายณฐพรแล้ว จะพบว่าเหตุหนึ่งที่นายณฐพรใช้ คือการที่พรรคอนาคตใหม่มีสัญลักษณ์ของพรรคเป็นสามเหลี่ยมรูปคว่ำ เหมือนสัญลักษณ์ขององค์กรอิลลูมินาติ แต่ถ้าอ่านลงไปดีๆ จะพบวัตถุประสงค์แอบแฝงเร้นซ่อนเอาไว้อยู่ เช่น การเอาการรณรงค์เรื่องการแก้ไข ป.อาญามาตรา 112 ที่ตนทำกับเพื่อนนักวิชาการคณะนิติราษฎร์และเพื่อนนักวิชาการจากหลากหลายมหาวิทยาลัย เอาการแสดงความคิดเห็นในทางวิชาการของตนหลายที่เอามาผูกโยงเต็มไปหมด เอาการให้สัมภาษณ์ของนายธนาธรในหลายครั้งหลายหนตั้งแต่ก่อนตั้งพรรคการเมือง ความเป็นหุ้นส่วนในการลงทุนหุ้นประเดิมเพื่อก่อตั้งวารสารวิชาการ
นายณฐพรยังตามมาดูนโยบายของพรรคอนาคตใหม่อีก เช่น การจัดการมรดกบาปของคณะรัฐประหาร คสช., การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนเหมือนที่เราทำมาแล้วตอนปี 2540, การให้สัตยาบันในธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยการก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ
ตนต้องถามว่า นโยบายเหล่านี้เป็นการล้มล้างการปกครองตรงไหน ก็ในเมื่อประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหลายประเทศก็อยู่ในธรรมนูญนี้ ยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศนี้ ไม่มีตรงไหนเลยบอกว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีแต่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นพัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยซ้ำไป
การที่นายณฐพรเอาเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ผูกเข้ามา แล้วก็พยายามตีขลุมไปให้ได้ว่านายธนาธรและตนนั้นมีพฤติกรรมเป็นการล้มล้างการปกครอง ก็ต้องถามว่า ถ้าหากพรรคอนาคตใหม่ล้มล้างการปกครองจริง ทำไมคณะกรรมการการเลือกตั้งถึงยอมให้ตั้งพรรค ทำไมพรรคอนาคตใหม่ถึงได้ลงเลือกตั้ง ได้เสียงจำนวน 6.3 ล้านเสียงกลับมา และยังปฏิบัติหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างดี ทำไมวันนี้ตนยังได้เป็นผู้แทนราษฎร ถ้าหากเราเป็นพรรคที่ล้มล้างการปกครองจริง จนถึงวันนี้คงอยู่ไม่ได้ สิ่งที่นายณฐพร โตประยูร ดำเนินการมาทั้งหมดนั้น จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
"ถามว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ผมคิดว่า การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ การเกิดขึ้นของการเมืองแบบใหม่ๆ สร้างความหวาดกลัวให้กับคนบางคน คนบางกลุ่ม นี่คือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น ระบอบแบบนี้ ไม่มีที่อยู่ที่ยืนให้คณะรัฐประหาร ไม่มีที่อยู่ที่ยืนให้กับอำนาจเผด็จการ แต่มีที่อยู่ที่ยืนให้กับรัฐสภา ให้กับรัฐบาล มีที่อยู่ที่ยืนให้กับประชาชน ที่มีสิทธิ์มีเสียงในการออกเสียงลงคะแนน และมีสิทธิมีเสียงในการรณรงค์ทางการเมือง นี่คือเนื้อหาใจความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เขากลัวความคิดแบบอนาคตใหม่ เมื่อกลัวก็ต้องไปหาวิธีการว่าจะจำกัดอย่างไร วิธีการกำจัดที่ใช้กันมาโดยตลอดก็คือตัดมันออกไปจากการเมืองไทยเสีย นั่นก็คือยุบพรรคการเมือง"
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ถ้าหากว่ามีการยุบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นจริง ผลร้ายไม่ได้เกิดกับนายธนาธร ไม่ได้เกิดกับตน นายธนาธรก็ยังคงรณรงค์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ได้กลับไปประกอบธุรกิจ ตัดสิทธิตนให้ไม่ได้เป็น ส.ส. ตนก็จะเดินสายอภิปรายแบบในสภา แต่อภิปรายให้พี่น้องประชาชนฟังทั่วประเทศ ส.ส.เราก็จะย้ายไปอยู่ในพรรคใหม่ สมาชิกพรรคเรา 6 หมื่นกว่าคน ก็จะไปต่อแถวสมัครสมาชิกพรรคใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้น ถามว่ายุบไปแล้วสร้างผลร้ายให้กับธนาธร ให้กับตน ให้กับพรรคอนาคตใหม่ไหม ตนคิดว่าไม่ใช่ แต่ถ้ายุบพรรคด้วยเหตุนี้ จะสร้างผลร้ายในเรื่องอื่นๆต่อเนื่องไป ได้แก่
"ผลร้ายประการที่ 1 เรารณรงค์เรียกร้องกันมาโดยตลอดว่าเราต้องการการอภิปราย การทำงานในสภาอย่างสร้างสรรค์ เราต้องการพรรคการเมืองที่ไม่ใช้อิทธิพล ไม่ใช้หัวคะแนน ไม่ได้ใช้เงินใช้ทองเป็นตัวนำ เราต้องการแบบนี้ไม่ใช่หรือ ว่าเราอยากให้เยาวชนคนรุ่นใหม่สนใจการเมือง? แล้ววันนี้พรรคอนาคตใหม่เริ่มต้นทำ น่าจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้กับการเมืองไทยได้ แล้วคุณมาจะทำลายมันลงไปทำไม
ผลร้ายประการที่ 2 ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน ว่าผู้สนับสนุน คนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่มีคนรุ่นใหม่อยู่ในนั้นจำนวนมาก การฆ่าตัดตอนพรรคอนาคตใหม่ด้วยวิธีการยุบพรรค นั่นหมายความว่าคุณกำลังขีดเส้นแบ่งระหว่างรุ่นโดยที่คุณไม่รู้ตัว เป็นการปะทะขัดแย้งกันระหว่างรุ่นกับรุ่น เหมือน Clash of Generations แล้วรุ่นต่อรุ่นนี่ไม่ได้เป็นเรื่องการแบ่งแบบภูมิภาค มันคือการแบ่งทั้งประเทศ รอยปะทะกัน ความขัดแย้งกันระหว่างระหว่างคนรุ่นหนึ่งกับคนอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีถ้าหากมันจะเกิดขึ้นแบบนั้น
ผลร้ายข้อที่ 3 นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่นำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมืองกัน แล้วถ้าเกิดศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคจริง สังคมจะคิดเลยว่าธนาธร ผม และพรรคอนาคตใหม่มีพฤติกรรมอย่างนั้นจริง จะผลักดันให้กลุ่มก้อนพลังทางการเมืองกลุ่มนี้ทั้งกลุ่มกลายเป็นศัตรูกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างนั้นหรือ ทั้งๆที่มันไม่ใช่"
นายปิยบุตร กล่าวว่า นี่คืออันตรายที่นายณฐพร ไม่รู้ตัว หรือรู้แล้วไม่สนใจก็ไม่ทราบ กองเชียร์อาจจะโห่ร้องดีใจกำจัดพรรคอนาคตใหม่ได้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าคุณกำลังสร้างผลร้ายอื่นๆตามมา แล้วตัวคุณจะรับผิดชอบไม่ไหว นี่ไม่ใช่แค่พรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่แค่ธนาธรหรือตนเอง นี่คือความหวังของคนรุ่นหนึ่ง คนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมา แล้วถ้าทำลายด้วยวิธีแบบนี้ เกรงว่าจะนำบ้านเมืองไปสู่ทางตันมากกว่าเดิม
ทั้งนี้ มีแต่เพียงอย่างเดียวคือการยอมรับความเป็นจริงว่า พลังทางการเมืองกลุ่มใหม่ พลังทางสังคมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ถ้ายังยืนยันว่าที่ผ่านมาเป็นเรื่องจัดตั้ง ที่ผ่านมาเป็นเรื่องยุยงปลุกปั่น เป็นเรื่องถูกหลอกให้หลงผิด ถ้าคิดแบบนี้ให้ตายก็ไม่มีวันแก้ปัญหาได้ เช่นกัน ถ้าคิดแต่เพียงว่าจัดการอยู่ เอาอยู่ อย่างไรก็ตามพวกเราต้องครองอำนาจอยู่แบบเดิมโดยไม่คิดจะลดถอย ไม่เคยคิดที่จะประนีประนอมกันเลย ตนคิดว่าว่าวิธีการนี้ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาได้
“เราผ่านวิกฤติการณ์มา 13 ปี ครั้งนี้เราพยายามจะเริ่มต้นเดินหน้าไปสู่อนาคตแบบใหม่ หาทางออกร่วมกัน อย่าทำลายความหวังของคนไทย อย่าทำลายความหวังของคนรุ่นใหม่ เพียงเพราะต้องการกำจัดผม กำจัดคุณธนาธรออกไปจากการเมืองไทย” (ข้อมูลจากไทยโพสต์/ 18 ม.ค.63)
แน่นอน, ทั้งหมดเป็นเรื่องของการตอบโต้กันไป-มา ด้วยความเชื่อส่วนตัวเท่านั้น ไม่ถือว่า เป็นข้อสรุป “ผิด-ถูก” แต่อย่างใด และผู้อ่านคงใช้วิจารณญาณได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ว่าใครของจริงของปลอม
แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย และคงต้องลุ้นกันเอาเอง ส่วนผลที่จะตามมา ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะนำมาข่มขู่เอาไว้ก่อน แล้วศาลฯจะเชื่ออย่างแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้น จะหาความความยุติธรรมจากอะไร!?