ฝ่ายค้านโวย รมว.ต่างประเทศ ชักศึกเข้าบ้าน หลังให้ข่าวว่าสหรัฐฯ ส่งซิกล่วงหน้าก่อนโจมตีนายพลอิหร่าน ไม่ควรทำหน้าที่รัฐมนตรีต่อไป ส่วนเรื่องงบกระทรวงต่างประเทศ 2 หมื่นกว่าล้าน ส่อไม่โปร่งใส แต่ไม่สามารถชี้แจงได้
วันนี้ (9 ม.ค.) การประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 วาระที่ 2 และ 3 วันที่ 2 เริ่มประชุมพิจารณาต่อจากเมื่อวานนี้ โดยเริ่มที่มาตรา 10 งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงการต่างประเทศ วงเงิน 5,134 ล้านบาท
โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายแปรญัตติขอปรับลดงบประมาณร้อยละ 5 โดยระบุว่าการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศมาในลักษณะรวมศูนย์ที่สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศมาโดยตลอด ทั้งที่สามารถจัดทำงบประมาณแยกเป็นกรมและกองได้
นายจุลพันธ์อภิปรายว่า ไม่สามารถไว้วางใจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศใช้งบประมาณปฏิบัติภารกิจได้ เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมาตั้งแต่กรณีไม่ยอมชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่ามีคุกลับในปี 2557 หรือในปี 2558 กรณีสหรัฐอเมริกาตำหนิเรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง และขอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ภาคใต้ แต่กลับชี้แจงว่ากฎอัยการศึกเป็นเพียงตัวหนังสือเท่านั้น ทั้งที่คนไทยส่วนใหญ่รู้สึกว่ากฎอัยการศึกกำลังกดทับอยู่ จนไปถึงกรณีล่าสุดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบุว่ารับทราบสัญญาณล่วงหน้าก่อน 1 วันที่สหรัฐอเมริกาจะโจมตีนายพลระดับสูงของอิหร่าน เสี่ยงที่จะดึงประเทศไทยเข้าสู่ความขัดแย้ง หากเหตุการณ์บานปลายเกิดความรุนแรงในประเทศไทย ตัวรัฐมนตรีและรัฐบาลจะรับผิดชอบได้หรือไม่ ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงไม่สมควรปฏิบัติหน้าที่ และหากไม่ลาออกนายกรัฐมนตรีก็ควรพิจารณาปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงเตือนสมาชิกขอให้อภิปรายเรื่องงบประมาณ ส่วนพฤติกรรมของรัฐมนตรีก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง แต่อย่าถึงขั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
นายสุภดิช อากาศฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายขอปรับลดที่ร้อยละ 15 โดยอ้างอิงว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบว่ามีการใช้งบประมาณจำนวน 2 หมื่นกว่าล้าน ที่กระทรวงการต่างประเทศไม่สามารถชี้แจงได้ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐ ไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังปี 2561
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายแปรญัตติปรับลดงบประมาณ กระทรวงการต่างประเทศร้อยละ 100 เพราะทุกกระทรวงมีการจัดสรรงบประมาณแบ่งตามสำนักปลัดกระทรวงและกรมกองต่างๆ แต่กระทรวงการต่างประเทศ จัดงบประมาณไว้ที่สำนักปลัดกระทรวงเท่านั้น ซึ่งขัดกับมาตรา 4 ประกอบมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณปี 2561 โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงบประมาณ ชี้แจงเหตุผลว่าเพื่อความสะดวกเท่านั้น
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายแปรญัตติตัดงบกระทรวงการต่างประเทศร้อยละ 5 โดยวิจารณ์ท่าทีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะนอกเหนือจากนายกรัฐมนตรีแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ แต่กลับไปพูดรู้ล่วงหน้าว่าสหรัฐอเมริกาจะโจมตีนายพลอิหร่าน แล้วค่อยให้เจ้าหน้าที่มาแถลงว่าเข้าใจคลาดเคลื่อน
ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลส่วนใหญ่ก็อธิบายถึงความจำเป็นในการใช้งบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ อาทิ นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายชี้ถึงความจำเป็นของงบประมาณในการรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อดูแลคนไทยที่อยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยง ขณะที่การชี้แจงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่ได้ระบุเจาะจงไปที่การทหาร เพราะอาจจะหมายถึงการส่งสัญญาณเตือนเรื่องอื่นๆ ในตะวันออกกลาง ซึ่งการชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศในภายหลังก็สามารถลดความตึงเครียดของสถานการณ์ไปได้ และยังเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมขอให้คำนึงถึงงบประมาณในการดูแลจุดผ่อนปรนตามแนวชายแดนชั่วคราวด่านสังขร เพื่อพัฒนาเป็นจุดผ่านแดนถาวร
ขณะที่นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายแสดงความเป็นห่วงเกี่ยว กรณีกระทรวงการต่างประเทศให้บริษัทเอกชนจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่ทำหนังสือเดินทางซึ่งอาจถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางอื่นโดยมิชอบได้ และไม่มีการระบุรายได้ของกระทรวงการต่างประเทศที่มาจากการทำหนังสือเดินทางและวีซ่า จึงฝากให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลเงินนอกงบประมาณให้ครบถ้วน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส