xs
xsm
sm
md
lg

“นิพนธ์”เผยอุบัติเหตุปีใหม่ลดลงจากปีก่อน 370 ครั้งคนตายน้องลง 90 คน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
มท.2 เผยอุบัติเหตุปีใหม่ลดลงจากปีก่อน 370 ครั้งเหลือ 3,421 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 373 ราย ลดลงจากปีก่อน 90 คน สาเหตุหลักยังมาจากเมาแล้วขับ และขับรถเร็วเกินกำหนด มีผู้ถูกจับกว่า 2.5 หมื่นคดี ประกาศปี 63 เดินหน้ารณรงค์เข้มข้นตลอดทั้งปีเพื่อลดสถิติการสูญเสียลงอีก

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้(3 ม.ค.) ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) ในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 กล่าวว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 2 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” เกิดอุบัติเหตุ 354 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 45 ราย ผู้บาดเจ็บ 359 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ขับรถเร็วร้อยละ 30.23 ตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 23.73 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ร้อยละ 82.97 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 61.30 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 42.94 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 29.66 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 - 20.00 น. ร้อยละ 28.53

สำหรับผลสรุปการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.62 – 2 ม.ค.63 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,421 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 373 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,499 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต มี 6 จังหวัด คือ ตราด พะเยา แม่ฮ่องสอน ยะลา ลำพูน และสตูล จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ สงขลา 116 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร 15 ราย และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด คือ สงขลา 121 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ดื่มแล้วขับ รองลงมาขับรถเร็ว และ ไม่สวมหมวกนิรภัย

ทั้งนี้ตัวเลขสรุปยอดรวมปริมาณคดีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ที่เข้าสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ของกลุ่มศาลอาญา, กลุ่มศาลจังหวัด, กลุ่มศาลแขวง ในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ 2563 ระหว่าวงวันที่ 27 ธ.ค.62 - 2 ม.ค.63 ซึ่งรวบรวมข้อมูลสถิติโดยศูนย์ข้อมูลคดี สำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรมว่าจำนวนคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณา รวมทั้งสิ้น 25,376 คดี ซึ่งพิพากษาเสร็จทั้งสิ้น 24,986 คดี คิดเป็นร้อยละ 98.46 โดยจังหวัดที่มีปริมาณคดีขึ้นสู่การพิจารณาสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.จ.นครราชสีมา 1,140 คดี 2.กรุงเทพมหานคร 1,124 คดี 3.จ.ชลบุรี 997 คดี 4.จ.เชียงใหม่ 982 คดี 5.จ.ร้อยเอ็ด 870 คดี สำหรับข้อหาที่มีการกระทำความผิดสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ขับรถขณะเมาสุรา 23,723 คน 2.ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต 3,879 คน 3.ขับรถขณะเสพยาเสพติด 344 คน

ทั้งนี้ในส่วนสถิติความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ของกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว มี จำนวนคำร้องที่เข้าสู่การตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 358 คำร้อง โดยข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบการจับ 1.ขับรถขณะเมาสุรา 284 ข้อหา 2.ขับรถขณะเสพยาเสพติด 63 ข้อหา 3.ขับรถโดยไม่มีใบขับขี่

นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า เมื่อเปรียบเทียบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับปี 2562 การเกิดอุบัติเหตุ ลดลง 370 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ ลดลง 393 คน และผู้เสียชีวิตลดลง 90 คน จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 พบว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการเมาแล้วขับ และขับรถเร็ว รวมถึงผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด ซึ่งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประสานจังหวัดบูรณาการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยกำชับให้จังหวัดถอดบทเรียนและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุในเชิงลึกอย่างเข้มขั้นและต่อเนื่อง รวมทั้งค้นหาปัญหาอุปสรรคและปัจจัยความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการและแนวทางที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในแต่ละพื้นที่ พร้อมบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็วและการไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลในโอกาสต่อไป

นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า ศปถ.จะได้ดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในการใช้รถ ใช้ถนนอย่างปลอดภัย ตลอดจนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะเป็นรากฐานในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนในสังคมไทยต่อไป ท้ายนี้ ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชนเครือข่ายอาสาสมัคร จิตอาสาพระราชทาน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่ได้ร่วม เป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการเดินทางสัญจรให้แก่พี่น้องประชาชน ด้วยความทุ่มเท และเสียสละ และ ถือเป็นความสำเร็จร่วมกัน ที่ทุกคนได้ทำประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ


กำลังโหลดความคิดเห็น