xs
xsm
sm
md
lg

สงครามตัวแทน! 63 ปีแห่งการต่อสู้ “ชังชาติ-สถาบัน” VS “ปราบชังชาติ..ป้องสถาบัน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อนค.คือสัญลักษณ์ของการต่อกรกับโครงสร้างอำนาจ ถูกกล่าวหา “ชังชาติ” ขณะอีกฝ่าย คือ สัญลักษณ์ของ “ผู้ปกป้อง” ในนามความจงรักภักดี จับตาปี 63 “สงครามตัวแทน”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (31 ธ.ค.62) เฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์ข้อความระบุว่า

“ถ้าคุณเชื่อ "สนธิ" ออกมา "กู้ชาติ" คุณอาจรักชาติจริงๆ ถ้าคุณเชื่อ "ลุงกำนัน" ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง คุณอาจแค่ขาดข้อมูล

แต่ถ้าคุณเชื่อ “สุเทพ” เรื่อง “ลัทธิชังชาติ”
คุณโง่จริงๆ”

เช่นเดียวกันวันนี้ เฟซบุ๊กของพรรคอนาคตใหม่ - Future Forward Party โพสต์ ข้อความพร้อม “รบ” ด้วยนโยบายพรรคอย่างเต็มอัตราศึก ทั้งในและนอกสภาฯ เหมือนเดิม แต่อาจหนักหน่วงรุนแรงขึ้น ขึ้นไหนคงไม่มีใครอยากเห็น

โดยระบุว่า “ขอให้ปี 2563 เป็นปีแห่งโอกาส ปีแห่งความหวัง และเป็นปีแห่งความเจริญก้าวหน้า

ปีเก่าผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น และปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ปี 2563 นี้พรรคอนาคตใหม่จะเดินหน้าผลักดันให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน, ทำกองทัพให้ทันสมัย เปลี่ยนจากการบังคับเกณฑ์ทหารมาเป็นการสมัครแข่งขัน สวัสดิการดี มีโอกาสในการเติบโตอาชีพทหาร, มีกฎหมายที่เอื้อให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปาก ขจัดการผูกขาดโดยกลุ่มทุนใหญ่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผูกขาดอย่างเหล้าเบียร์, สวัสดิการของพี่น้องคนทำงานต้องดีกว่าเดิม และผลักดันแก้รัฐธรรมนูญเพื่อกระจายอำนาจ ให้ท้องถิ่นบริหารตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประชาธิปไตย ไม่สืบทอดอำนาจเผด็จการ

และที่สำคัญที่สุด เราขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่คอยให้กำลังใจและยืนเคียงข้างพรรคอนาคตใหม่มาตลอดปีที่ผ่านมา และปีหน้า... ก้าวต่อไป... เราจะเดินหน้าไปพร้อมกันนะคะ

ขอบคุณ และขอให้มีความสุขตลอดปี 2563

อะไรไม่สำคัญเท่ากับวานนี้ (30 ธ.ค. 62) “ท่านใหม่” จับโกหก “ช่อ” ได้คามือ ถามไม่รู้หรือว่าใครทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีที่ทำกินสุขสบายในพระราชอาณาจักรนี้

โดยเฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ของ หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“คุณช่อ ช่างไม่รู้เลยหรือครับ ว่าใครทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ เผ่าต่างๆ มีอาชีพ มีที่ทำกิน มีแผ่นดิน ได้อาศัยในพระราชอาณาจักรนี้กันอย่างสุขสบาย มีสิทธิเท่าเทียมกับคนไทยเจ้าของประเทศ แม้แต่สมัคร ส.ส.ก็ได้ พวกคุณช่างไม่ละอายบ้างเลยเหรอ ที่พูดออกมาได้

คุณธนาธร คุณช่อ ถ้าพวกคุณ มีความตั้งใจจริงที่จะช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ เผ่าต่างๆ จริง ขอให้พวกคุณทำให้ได้ แค่เศษหนึ่งส่วนสิบ ส่วนร้อย ที่พระองค์ได้ทรงทำไว้

อย่าโกหก หรือเห็นพวกชาติพันธุ์ ชาวเขาเผ่าต่างๆ เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้น

เด็กเอ๋ย เด็กน้อย
ความรู้ เรายังด้อย เร่งศึกษา
เมื่อเติบใหญ่ เราจะได้ มีวิชา
เป็นเครื่องหา เลี้ยงชีพ สำหรับตน
ได้ประโยชน์ หลายสถาน เพราะการเรียน (ประวัติศาสตร์)
จงพากเพียร ไปเถิด จะเกิดผล
ถึงลำบาก ตรากตรำ ก็จำทน
เกิดเป็นคน ควรหมั่น ขยันเอย”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 62 ที่หมู่บ้านเข็กน้อย ต.เข็กน้อย อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ร่วมงานประเพณีวันปีใหม่ม้ง โดยมีนายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรค อนค. ซึ่งเป็น ส.ส.จากกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงร่วมกิจกรรม

“ช่อ” กล่าวกับประชาชนในระหว่างร่วมกิจกรรมว่า วันนี้เมื่อปีที่แล้ว ตนเคยมาที่นี่พร้อมผู้สมัครตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ยังไม่มีใครรู้จัก ผ่านไป 1 ปี วันนี้ได้มาร่วมงานปีใหม่ม้งอีกครั้ง รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และที่เราภาคภูมิใจมากไปกว่านั้นคือ ในบรรดา ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ มีผู้แทนของชนเผ่าชาติพันธุ์ ถึง 2 คน ได้แก่ คุณณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อชาติพันธุ์ม้ง และคุณมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่เข้าไปทำงานในสภา เป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องชนเผ่าชาติพันธุ์ทั่วประเทศ

"ลำพังแค่ชาวม้ง ชาวกะเหรี่ยง ไม่ได้บ่งบอกว่า เสียงพี่น้องชาติพันธุ์ ได้รับการสนใจจากรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน ถึงแม้ว่าพรรคอนาคตใหม่จะเป็นฝ่ายค้าน แต่พยายามผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้อย่างเต็มที่ แม้เราไม่ใช่รัฐบาล แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำได้นั่นคือ งานของกรรมาธิการ อย่างคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ที่ดิฉันเป็นรองประธานอยู่ในขณะนี้ เราได้ช่วยขับเคลื่อน ผลักดัน การให้สัญชาติกับพี่น้องประชาชนพลัดถิ่นที่ต้องการสัญชาติ เพราะเรารู้ว่า ตราบใดที่คนยังไม่ได้สัญชาติ ไม่มีบัตรประชาชน สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนไทยไม่มีทางได้มา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา หรือการรักษาพยาบาล สิทธิในฐานะประชาชนคนไทย แรกเริ่มจำเป็นต้องมีบัตรประชาชน นี่คือผลงานที่พรรคอนาคตใหม่ภาคภูมิใจ...”

ที่สำคัญ วานนี้เช่นกัน เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ หัวเรื่อง “10 เหตุผลทำไมผมจึงจะไม่เลือกพรรคอนาคตใหม่” ชนิดยิ่งเป้าสิบนัดเข้าทั้งสิบนัด

โดยระบุว่า “ว่ากันตามจริงเมื่อแรกเริ่ม เมื่อได้ฟังนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ก็รู้สึกมีความหวังว่า พรรคนี้จะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ มีความคิดใหม่ๆ ที่ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ แต่หลังจากเฝ้าติดตามดูพรรคการเมืองพรรคนี้มาตลอด วันนี้ได้ข้อสรุปว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากพรรคนี้ยังไม่ถูกยุบ ผมจะไม่เลือกพรรคนี้เด็ดขาด ไม่ใช่เหตุผลว่า “ชังชาติ” อย่างที่ถูกกล่าวหา แต่ด้วยเหตุผลดังนี้

ภาพจากเฟซบุ๊ก หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล
1. ผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่ไม่ให้ความสำคัญต่อการคงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีเจตนาค่อนข้างชัดว่าต้องการแตะต้อง ต่อรอง อย่างน้อยเพื่อลดทอนพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ลง ดังจะเห็นจากการแสดงออกของแกนนำพรรคหลายต่อหลายโอกาส รวมถึงการโหวตค้านการออกพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กระทรวงกลาโหมไปเป็นของหน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัยรักษาพระองค์

2. หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการรื้อคดีคุณทักษิณทั้งหมด ให้คุณทักษิณกลับมาผ่านกระบวนการยุติธรรมใหม่ โดยกล่าวหาว่าการพิจารณาคดีต่างๆ ไม่มีความเป็นธรรมต่อคุณทักษิณ เพราะการพิจารณาคดีเกิดในช่วงรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร โดยไม่ยอมพิจารณาจากข้อมูลและข้อเท็จจริงแต่อย่างใด

3. พรรคอนาคตใหม่มีความเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับพรรคในกำกับของคุณทักษิณทุกพรรค สังเกตได้จากการที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี และการได้อานิสงส์จากการที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ คนจึงเทคะแนนเสียงให้พรรคอนาคตใหม่ เป็นผลให้พรรคอนาคตใหม่ได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.ในสภาฯ มากเกินคาด

4. พรรคอนาคตใหม่พร้อมที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคตามข้อ 3 แม้จะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พรรคการเมืองเหล่านั้นจะเคยมีประวัติการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร และมีความพยายามที่จะผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อคุณทักษิณและพวกพ้องจนมีประชาชนออกมาคัดค้านหลายล้านคน

5. จากข้อมูลที่เล็ดลอดออกมา ที่เกี่ยวกับสไตล์การบริหารของแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เชื่อได้ว่าพรรคนี้พร่ำบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เชิดชูประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหารและเผด็จการ แต่การบริหารพรรคกลับไม่ต่างจากเผด็จการ เพราะการตัดสินใจถูกครอบงำโดยหัวหน้าพรรคและแกนนำบางคนเท่านั้น ผู้ที่ไม่เชื่อฟังมติพรรคซึ่งถูกครอบงำโดยหัวหน้าพรรคและแกนนำจะถูกขับออกจากพรรค

6. เชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหลงลืมไม่ได้โอนหุ้นวี-ลัคมีเดียก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อมีคนไปร้อง จึงพยายามสร้างหลักฐานย้อนหลัง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญไม่เชื่อว่าได้โอนหุ้นกันก่อนวันลงสมัครรับเลือกตั้งจริง หัวหน้าพรรคก็โทษทุกฝ่ายรวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่โทษตัวเองที่ผิดพลาด เมื่อต้องพ้นจากการเป็นส.ส.

7. แกนนำพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปราศรัย หรือพูดกับชาวบ้าน มักโจมตีรัฐบาลด้วยวิธีไม่พูดความจริงทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านเกลียดชังรัฐบาลอย่างไม่เป็นธรรม

8. เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่หัวหน้าพรรคการเมืองก่อ mob เพื่อแสดงพลัง หลังจากที่กกต.ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคตัวเอง โดยอ้างว่า เพื่อไม่ให้รัฐบาลกดหัวประชาชน แต่ความจริงประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้รู้สึกว่าถูกกดหัวหรือสูญเสียอิสรภาพแต่อย่างใด ดังนั้นจึงชัดเจนว่า mob นี้ไม่ได้ก่อขึ้นเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อประเทศชาติ แต่เพื่อพรรคอนาคตใหม่เอง

9. เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่หัวหน้าพรรคการเมืองประกาศว่า “การแก้รัฐธรรมนูญมีเพียง 2 ช่องทางคือ จะแก้ด้วยเลือดหรือจะแก้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ” จนมีคนเป็นจำนวนมากตั้งคำถามว่า “เลือดใคร”

10. เมื่อ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไม่โหวตตามมติของพรรคร่วมรัฐบาล เช่น ส.ส.คนหนึ่งจากพรรคภูมิใจไทยงดออกเสียงไม่โหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับคำชมจากหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ว่ามีความกล้าหาญ แต่เมื่อลูกพรรคตัวเองไม่โหวตตามมติพรรคกลับขับออกจากพรรคทั้งหมด

ด้วยเหตุผลทั้ง 10 ข้อนี้ อยากให้วิญญูชนลองพิจารณาใคร่ครวญดูอย่างไม่มีอคติว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่วนผู้ที่เป็นสาวกพรรคอนาคตใหม่คงต้องปล่อยเขาไป หากมีใครแชร์มาก็กรุณาอย่าอ่านข้อเขียนนี้ครับ

แน่นอน, นายธนาธร ประกาศเอาไว้แล้วว่า ปี 63 จะยังสู้ต่ออย่างไม่ท้อถอย ไม่หวั่นแม้ถูกยุบพรรค และไม่กลัวที่จะลงถนน เพื่อเอาเลือดแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นปีที่แนวรบทั้งในและนอกสภาฯเต็มไปด้วยความร้อนแรง ถ้าดูจากเป้าหมายที่วางเอาไว้ และพรรคนี้ก็มักทำอะไรโดยเชื่อมั่นในตัวเองสูง และท้าทายอย่างยิ่งอยู่แล้ว

ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามอย่าง พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ซึ่งหัวหอกสำคัญ คือ ลุงกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ และ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม CEO พรรค และมือปราบ “ชังชาติ” ก็คงไม่หยุดให้ข้อมูลความรู้ประชาชนเรื่อง “ชังชาติ” ของพรรคการเมืองบางพรรค และเชื่อได้เลยว่า คนไทยครึ่งค่อนประเทศกำลังจับตาสถานการณ์และข้อเท็จจริง เนื่องจากสาระสำคัญหนึ่งในหลายประเด็นของการ “ชังชาติ” ก็คือ การหมิ่นเบื้องสูง

นอกจากนี้ “ตัวเร่งสงคราม” นับวันยิ่งใกล้เข้ามา นั่นคือ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องกรณีนายณฐพร โตประยูร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้องที่ 2 นายปียบุตร แสงกนกกุล ผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข หรือไม่ ซึ่งศาลฯนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 21 มกราคมนี้

ถ้าหากตัดสิน “ยุบพรรค” ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ การเคลื่อนไหวของนายธนาธร และเหล่าสาวก ที่จะตอกย้ำข้ออ้าง “นิติสงคราม” มีความเป็นไปได้สูง ทั้งยังจะเดือดดาลอย่างไม่ต้องพูดถึง

จึงอยู่ที่การรับมือของฝ่ายรัฐบาล ว่าจะสร้างแรงปะทะด้วยการเผชิญหน้า หรือไม่ เพราะสิ่งที่รัฐบาลยึดมั่นในระบบรัฐสภา คือ ความได้เปรียบ

แต่ที่พึงระวังอย่างสูงก็คือ “มวลชน” ฝ่าย “ชังชาติ” และ “ปราบชังชาติ” จะเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง แม้สุดท้ายฝ่ายรัฐบาลยังได้เปรียบที่จะจัดการอำนาจด้วยการรัฐประหารก็ตาม เพราะครั้งนี้อาจรุนแรงกว่าทุกครั้งในประวัติศาสตร์ และไม่แน่ว่าจะจบหรือไม่ด้วย???


กำลังโหลดความคิดเห็น