มาเป็นพวกข้าแล้วไม่ผิด

ผมขำดีครับที่เห็นข้อความในโซเชียลมีเดียว่า นาฬิกาหรูให้บอกว่ายืมเพื่อน รุกป่าให้บอกว่าคืนแล้ว ติดคุกให้บอกว่าติดคุกประเทศอื่น นี่เป็นถ้อยคำที่เยาะเย้ยถากถางอำนาจรัฐที่อยู่ในมือของคนกลุ่มหนึ่งที่เราเชื่อว่าเขาจะพาประเทศไทยไปในหนทางที่ดีกว่า

กรณีนางปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ บุกรุกที่ ส.ป.ก.นั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มือกฎหมายชั้นนำ เนติบริกร บอกว่า เรื่องของที่ดินส.ป.ก.นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งปัญหาอยู่ที่ว่าพื้นที่นั้นเป็นที่ดิน ส.ป.ก.หรือไม่ ถ้าใช่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“เหมือนสมัยก่อนที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีได้คืนที่ดิน ส.ป.ก.ไปแล้วก็จบ อย่างไรก็ตามที่ดิน ส.ป.ก.ตอนไปเอามานั้นไม่ผิดเพราะถือครองไม่ได้เมื่อถือครองไม่ได้ต้องคืน แต่พื้นที่บางแห่งตอนไปเอามานั้นผิดเมื่อคืนไปความผิดสำเร็จดังนั้นกฎหมายแต่ละเรื่องไม่ได้ยึดหลักเดียวกันไปเสียหมด เช่น พ.ร.บ.ศุลกากรคดีฟิลลิป มอร์ริสเมื่อสำแดงเท็จเป็นความผิดติดคุก แต่เมื่อนำเงินไปจ่ายเสียตามที่ควรจะต้องจ่ายจริงถือว่าจบคดีอาญาหรือคดีทรัพย์สินทางปัญญามีความผิดติดคุก แต่ถ้าชดใช้เงินเสียคดีก็จบ”

สรุปง่ายๆ คือ ปารีณาไม่มีความผิดในการยึดครองที่ ส.ป.ก.ที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ คำถามต่อมาว่า แล้วกรณีที่รุกพื้นที่ป่าอีก 40 กว่าไร่จะผิดไหม และกรมป่าไม้ที่มีทีท่าจะเอาผิดให้ได้แต่แรก จะถอยอย่างไม่เป็นท่าไหม

แล้วก่อนหน้านี้มีชาวบ้านคนอื่นที่บุกรุกที่ ส.ป.ก.แล้วได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับนางปารีณาไหม ช่วยตอบคำถามนี้ด้วย

กรณีของพ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ก็เหมือนกันถึงวันนี้ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้โดยที่ไม่มีตำรวจคนไหนจับกุม และยังบอกว่า ถ้าจะเดินทางมาทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาก็ยังได้ คำถามว่า พ.ต.ท.ไวพจน์ไม่ต้องใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาสภา แต่จะหายตัวมาในสภาเลย หรือถามว่า ไม่มีตำรวจรายไหนรู้เลยหรือว่าหลักแหล่งของพ.ต.ท.ไวพจน์อยู่ที่ไหน

รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า มาตรา 115 ในระหว่างสมัยประชุมห้ามมิให้จับกุมคุมขังหรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปทําการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกหรือเป็นการจับในขณะกระทําความผิด

ในกรณีที่มีการจับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในขณะกระทําความผิดให้รายงานไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกโดยพลัน และเพื่อประโยชน์ในการประชุมสภา ประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกอาจสั่งให้ปล่อยผู้ถูกจับเพื่อให้มาประชุมสภาได้

ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาถูกคุมขังในระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อนสมัยประชุม เมื่อถึงสมัยประชุมพนักงานสอบสวนหรือศาลแล้วแต่กรณีต้องสั่งปล่อยทันทีถ้าประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกได้ร้องขอ โดยศาลจะสั่งให้มีประกันหรือมีประกันและหลักประกันด้วยหรือไม่ก็ได้

ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุมศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมก็ได้ แต่ต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา

คดีนี้ศาลฎีกามีคำสั่งว่าแม้จำเลยที่ 3 (พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่คดีนี้เสร็จการพิจารณาแล้วไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 125

ถ้าพิจารณาจากวรรคท้ายของ 125 ความจริงคดีนี้ศาลตัดสินในวันอังคารที่ 3 ธันวาคมซึ่งไม่เป็นการขัดขวางการประชุมสภาของพ.ต.ท.ไวพจน์ที่จะมาอ้าง 125 ได้เพราะไม่มีการประชุมสภาในวันนั้นเลย จึงชอบแล้วที่ศาลให้ออกหมายจับ

แต่แปลกประหลาดประเทศไทยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครไปจับตัวพ.ต.ท.ไวพจน์เลย และสภาก็บอกว่าพ.ต.ท.ไวพจน์ยังสามารถมาประชุมได้ ถ้าเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า จะลอยนวลอย่างนี้ได้ไหม

ก่อนหน้านี้คดีเดียวกัน อัยการก็สั่งไม่ฟ้องนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้ที่ย้ายมาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐมาคนหนึ่งแล้ว แม้ลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมไม่ได้หายไปไหนยังไปออกรายการโทรทัศน์ อัยการแจ้งว่าได้ส่งหนังสือถึงตำรวจแล้วว่าให้นำตัวนายสุภรณ์มาส่งฟ้องต่อศาลให้ได้ แต่ตำรวจก็ไม่สามารถนำตัวมาส่งได้จนคดีขาดอายุความซึ่งเป็นเรื่องประหลาดมาก

ล่าสุดนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านพูดถึงลูกพรรคเพื่อไทยที่โหวตช่วยรัฐบาลว่า กรณีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ เราไม่แปลกใจเพราะเข้าใจและทราบมาก่อนว่าเขามีบุญคุณต่อกันเรื่องคดีก่อนหน้านี้ บอกด้วยว่าก่อนหน้านี้มีคดีชี้เป็นตายทางการเมืองจนอาจจะต้องย้ายพรรคอยู่แล้ว

พอย้อนไปดูเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2562 พบว่า ศาลฎีกานัดพิจารณาคดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จนายพลภูมิให้การรับสารภาพในชั้นศาล และร้องขอความเมตตาจากศาลให้พิจารณาว่าคดีของตนจะหมดอายุความตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 อย่างไรก็ดี องค์คณะผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้มาไม่ครบเนื่องจากมีอาการป่วย ศาลจึงให้เลื่อนการพิจารณาคดีเป็นวันที่ 12 ก.ย. 2562

และต่อมาศาลฎีกายกคำร้องกล่าวหากรณีดังกล่าวโดยเห็นว่า ป.ป.ช.ไม่สามารถนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาส่งศาลภายในระยะเวลา 5 ปีตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้คดีขาดอายุความ

ถามว่าที่นายสุทิน อ้างว่า รัฐบาลมีบุญคุณกับนายพลภูมินั้น คือกรณีนี้หรือไม่

ที่แปลกคือ ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลนางชญาดา วิภัติภูมิประเทศ ภรรยาของนายพลภูมิเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตคันนายาว คดีการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเช่นกัน โดยนางชญาดาให้การรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 เดือนปรับ 8,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี และตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี กลายเป็นเมียผิดแต่ผัวรอดเพราะนำตัวมาฟ้องไม่ทัน

ถามว่า กรณีนี้คนที่รักความเป็นธรรมอยู่ไหนหมด คนที่ออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งอยู่ที่ไหน เพราะมันตอกย้ำเรื่องความยุติธรรมสองมาตรฐานที่เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งในบ้านเราอย่างไม่ต้องสงสัย

หากเป็นเช่นนี้เราจะพาประเทศออกจากความขัดแย้งได้ไหม เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ ถ้าใครมาเป็นฝ่ายอำนาจรัฐและสยบยอมแล้ว ก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และใช้กฎหมายที่มีมาตรฐานต่างกันกับฝ่ายตรงข้ามอำนาจรัฐ

เราจะอยู่กันอย่างนี้ใช่ไหม เรามีความสุขและหรี่ตาถ้าฝั่งที่เราสนับสนุนทางการเมืองกระทำผิด และได้รับการเกื้อกูลช่วยเหลือจากอำนาจรัฐ แต่ถ้าเป็นฝั่งตรงกันข้าม เราจะเรียกร้องให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

กลายเป็นว่า ถ้าอยู่ฝั่งหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิดถึงผิดก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องแม้แต่ศาลออกหมายจับแล้วก็ไม่มีใครกล้าจับ คิดสิครับว่า เมื่อเป็นแบบนี้แล้วอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan