“เรืองไกร” เผย กมธ.วิสามัญพิจารณาปรับลดงบฯ 63 ลง 1.6 หมื่นล้าน พท.จ้องหั่นรายกระทรวงเพิ่มอีก 15% กองทัพถูกเฉือนมากสุด 1.5 พันล้าน
วันนี้ (30ธ.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ขณะนี้กมธ.วิสามัญฯได้พิจารณาปรับลดงบประมาณรายจ่ายปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท จำนวน 55 มาตรา ที่มีนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เป็นประธาน กมธ. เสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รอนำเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2-3 ระหว่างวันที่ 8-9 ม.ค. 2563 โดย กมธ.ได้พิจารณาปรับลดงบลงไปทั้งสิ้น 16,231 ล้านบาท
นายเรืองไกรกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ กมธ.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยหลายคนขอสงวนความเห็นในฐานะกมธ.เพื่อนำไปอภิปรายวาระ 2-3 ในภาพรวม โดยจะขอปรับลดงบประมาณของกระทรวงต่างๆ ลง 10-15% แต่จะไม่ปรับลดงบ ประ มาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหมวดของสถาบัน เนื่องจากเห็นว่างบประมาณรายจ่ายปี 2563 กว่าจะผ่านขั้นตอนความเห็นชอบจากวุฒิสภา และรอดูจะมีผู้ร้องว่ามีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดูแล้วน่าจะมีผลบังคับใช้ได้ประมาณปลายเดือน ก.พ. หรือต้น มี.ค. 2563 เท่ากับมีระยะเวลาการใช้งบประมาณเหลือแค่ 7 เดือน จึงไม่สมควรตั้งงบไว้ตามปกติ จะต้องปรับลดงบลงมาตามระยะเวลาการใช้งบประมาณที่ลดลง ในส่วนของตนจะขอสงวนความเห็นตัดลดงบประมาณในส่วนเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจาก 96,000 ล้านบาท เหลือ 56,000 ล้านบาท ตัดงบไปทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท เนื่องจากเหลือระยะเวลาการใช้งบรายจ่ายปี 2563 แค่ 7 เดือน จึงไม่ควรตั้งงบไว้เต็มจำนวนที่ 9.6 หมื่นล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ.บประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วาระ 2-3 นั้น มี กมธ.สงวนความเห็น 25 คน และมี ส.ส.สงวนความเห็น 146 คน โดยหน่วยงานที่ถูก กมธ.ปรับลดงบประมาณรายจ่ายปี 2563 มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ (1. กระทรวงกลาโหม ถูกตัดลดงบประมาณ 1,518,272,500 บาท จาก 125,918,522,500 บาท เหลือ 124,400,250,000 บาท (2. กระทรวงสาธารณสุข ถูกตัดงบประมาณ 1,318,310,800 บาท จาก 28,049,048,300 บาท เหลือ 26,730,737, 500 (3. กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถูกตัดลดงบประมาณ 1,147,479,100 บาท จาก 49,037, 823,700 บาท เหลือ 47,890,344,600 บาท ทั้งนี้ กมธ.ตั้งข้อสังเกตการใช้งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมว่า ควรให้ความสำคัญกับกำลังพลในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยควรใช้วิธีรับสมัครแทนการเกณฑ์ทหาร เพื่อให้คัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถ มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการกำลังพล