xs
xsm
sm
md
lg

“ธนาธร” สู้เพื่อเอาตัวรอดยิ่งดิ้นยิ่งถลำลึก !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

กำลังกลายเป็นผู้นำม็อบรายใหม่อย่างเป็นทางการ สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เพิ่งประกาศนำมวลชนออกมาชุมนุมในย่านใจกลางเมือง เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยใช้ถ้อยคำปลุกเร้าในแบบ “ทวงคืนความยุติธรรม” หรือ “ไม่ถอยไม่ทน” อะไรประมาณนี้

หากพิจารณาจากจำนวนมวลชนที่เข้าร่วม แม้ในเบื้องต้นพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่หากพิจารณาแบบฉาบฉวยในแบบที่ “อยากให้เป็น” ก็ต้องบอกว่า เปิดหัวขึ้นมาก็ต้องบอกว่า “ใช้ได้” แม้ว่าหากพิจารณารายละเอียดจะสามารถอธิบายได้ดีว่าในปริมาณมวลชนที่ออกมานั้น “ไส้ใน” นั้นเป็นกลุ่มไหน เป็นพวกหน้าเดิม หรือหน้าใหม่ หรือว่า เป็นมวลชนของกลุ่มการเมืองพรรคใดกันแน่

เพราะหากบอกว่ามวลชนของพรรคอนาคตใหม่ ส่วนมากจะเป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นหนุ่มสาว แต่กลายเป็นเมื่อพิจารณาโฟกัสเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมก็ต้องยอมรับความจริงส่วนใหญ่จะเป็น “วัยกลางคน” หรือยิ่งเพ่งสายตามองเข้าไปอีกก็จะเห็นเหมือนกับว่า เป็น “ม็อบคนกันเอง” จนแทบจะกลายเป็นคนที่รู้จักสนิทสนมกันแล้ว เพราะ “เจอทุกม็อบ” ทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาล หรือต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึงการเคลื่อนไหวแก้ไขรับธรรมนูญ เป็นต้น

หลายคนในกลุ่มที่สนับสนุน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พยายามเคลมว่า “จุดติด” แล้ว โดยอ้างถึงปริมาณมวลชนที่เข้าร่วมในวันดังกล่าวว่ามีจำนวน “นับหมื่น” ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ เพราะสถานที่บริเวณนั้นที่เป็นแยกปทุมวัน ถือเป็นย่านใจกลางเมืองที่มีคนพลุกพล่านกันตามปกติอยู่แล้ว ประกอบกับยังเป็นช่วงที่มีกิจกรรมมีคอนเสิร์ตกันอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนกับมีมวลชนเข้ามาร่วมจำนวนมาก แต่ในเมื่อต้องการยืยันว่า “มีคนมาก” ก็ไม่อยากโต้แย้ง ก็ว่ากันไป

แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ เป้าหมายในการชุมนุมครั้งนี้มัน “จุดร่วม” หรือไม่ เป็นข้อเรียกร้องเรื่องใด เป็น “ผลประโยชน์ส่วนตัว” หรือว่า เป็นเป้าหมายส่วนรวมกันแน่ เพราะหากบอกว่า ต้องการ “ทวงคืนความยุติธรรม” ก็ต้องถามว่า อะไรที่ว่าไม่ยุติธรรม และต้องทวงให้ใคร เพราะหากบอกว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวกสองสามคน และพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ก็ต้องถามต่อไปอีกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องอะไร

เพราะก่อนหน้านี้ มีอยู่สองกรณีหลักที่พวกเขา “โดน” ก็คือเรื่อง “ถือหุ้นสื่อ” กับเรื่อง “ปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่” ก็เป็นเรื่องเกิดขึ้น มาจาก “ตัวเองทำ” ทั้งสิ้น ไม่ได้มีใครกล่าวหา หรือไปกลั่นแกล้งไล่ล่า หรือจะเรียกว่า “สะดุดขา” ตัวเอง แล้วจะโทษใครได้

และที่สำคัญ ความผิดที่เกิดขึ้นก็ล้วนมาจากคำวินิจฉัยหรือคำตัดสินของศาล ซึ่งในที่นี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญ จากคดีถือหุ้นสื่อ ส่วนอีกคดีที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน ก็คือ คดีปล่อยเงินกู้จำนวน 191 ล้านบาท ที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมากว่ามีความผิด และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ต่อไป

ซึ่งจะว่าไปแล้วกรณีที่เกิดขึ้นก็ต้องว่าไปตามขั้นตอนที่ยังอีกนาน และก่อนหน้านั้น ก็ยังไม่รู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณารับฟ้อง รวมไปถึงในที่สุดศาลอาจจะเห็นไปอีกทางหนึ่งก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีการเปิดโอกาสให้มีการพิสูจน์ มีการหาความจริงกันในทางข้อกฎหมายกันอย่างเต็มที่

คำถามก็คือแล้วมัน “ไม่ยุติธรรมตรงไหน” เพราะนี่คือการพิสูจน์กันในชั้นศาล ซึ่งเลยขั้นตอนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาแล้ว

หรือแม้แต่การรณรงค์ที่พยายาม “แหย่” ว่า “ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก” นั้น หากกล่าวด้วยอารมณ์จาก “ความไม่ชอบลุง” ก็อาจจะใช่ แต่ขณะเดียวกัน ต้องถามกลับไปว่า มันก็ยังมีคนที่ชอบลุงอีกจำนวนมาก และถามอีกว่ามันถึงเวลาต้องออกมาไล่แล้วหรือ หรือมีมูลเหตุที่ทำให้ต้องทนไม่ไหวกันแล้วหรือ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เห็นจากการชุมนุมของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา ถือว่าเขาได้ “เปลือยกาย” ล่อนจ้อน ว่า เมื่อภัยกำลังมาถึงตัวก็ใช้วิธีดึงมวลชนมาเป็นเกราะกำบัง ทั้งที่ทุกเรื่องล้วนมาจากความ “สะเพร่า” ความไม่รู้ ไม่รอบคอบของตัวเอง และทีมกฎหมายข้างกายของตัวเองแท้ๆ ไม่มีเรื่องของความไม่เป็นธรรมตามที่อ้างเลยแม้แต่น้อย

เป็น “เรื่องส่วนตัว” ล้วนๆ แต่อ้างเรื่องความไม่เป็นธรรม เพื่อสร้างแรงกดดันเพื่อหวังเอาตัวรอดเท่านั้นใช่หรือไม่

นอกเหนือจากนี้ การเคลื่อนไหวของพวกเขาหากพิจารณากันตามความเป็นจริง ตามขั้นตอนมันก็ไม่ต่างจากการกดดันศาล หรือความพยายามดิสเครดิตระบบศาลยุติธรรม เมื่อเห็นว่าไม่เป็นคุณกับตัวเอง ซึ่งการเคลื่อนไหวแบบนี้ในทางยาวยังถือว่าไม่มีความชอบธรรมหรือมีพลังเพียงพอ ในทางตรงกันข้ามมีแต่การ “ถลำลงลึก” เดินเข้ารกเข้าพงไปเรื่อยๆ

แต่เมื่อเลือกเดินในแนวทางแบบนี้ มันก็ต้องมาจับตาดูว่าในบั้นปลายจะมีบทสรุปอย่างไร เพราะหากจุดเริ่มยัง “คลุมเครือ” เป็นเรื่องส่วนตัว ยังหาความชอบธรรมแบบมีจุดร่วมได้เต็มร้อย มันก็ยากที่สำเร็จตามเป้าหมายที่ฝันเอาไว้ !!




กำลังโหลดความคิดเห็น