xs
xsm
sm
md
lg

สภาล่ม 2 วันติด เพราะประชาธิปัตย์แผลงฤทธิ์ “เอาคืน” พลังประชารัฐ * “ปารีณา” รุกป่า รอด-ไม่รอด ก็อยู่ที่กระบวนการตรวจสอบ * “ลุงตู่” ปลื้มปริ่ม มิติใหม่โยกย้ายตำรวจ “บิ๊กแป๊ะ” จัดให้ได้ใจสีกากี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



** สภาล่ม 2 วันติด เพราะประชาธิปัตย์แผลงฤทธิ์ “เอาคืน” ที่พลังประชารัฐขวาง “อภิสิทธิ์” นั่งประธานกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ!?

รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำเริ่มออกอาการอีกครั้ง เมื่อสภาล่ม 2 วันติด ในวันที่ 27-28 พ.ย.ที่ผ่านมา...สาเหตุจากการโหวตตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 หรือที่เรียกกันว่า “กมธ.เช็กบิล ม.44” ที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และคณะเป็นผู้เสนอ...

แน่นอนว่าฝ่ายรัฐบาลย่อมไม่ต้องการให้ กมธ.คณะนี้เกิดขึ้น เพราะมีเจตนาชัดว่าตั้งมาเพื่อ “รื้อขยะใต้พรม” ของ คสช. แต่ผลโหวตออกมารัฐบาลกลับเป็นฝ่ายแพ้ไปด้วยคะแนนเสียง 236-231 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนนไม่มี ...ทำให้ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล ต้องขอให้มีการนับคะแนนใหม่ ซึ่ง “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาฯ ก็ยกข้อบังคับการประชุมสภาฯข้อ 85 ที่ระบุว่า ...ถ้าการลงมติคะแนนห่างกันไม่เกิน 25 เสียง มีสิทธิเสนอให้นับใหม่ได้ แต่ต้องเปลี่ยนวิธีจากการ “กดบัตร” มาเป็นขานชื่อทีละคน

ฝ่ายค้านจึงโวยวายกันใหญ่ เพราะเห็นว่านี่ไม่ใช่ “การนับคะแนนใหม่” แต่เป็นการ “โหวตใหม่” ...เหตุการณ์จึงวุ่นวายจนฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ สภาก็ล่มไปในช่วงค่ำวันที่ 27 พ.ย.

วันรุ่งขึ้นเมื่อเปิดสภาฯ มาพอถึงวาระที่จะต้องลงมติกันอีกครั้ง ประธานสภาฯ กดออดเรียกสมาชิกเพื่อนับองค์ประชุม ก็มี ส.ส.ฝ่ายค้านบางส่วนเดินออกจากห้องประชุมไป บางส่วนที่ยังอยู่ในห้องประชุมก็ไม่กดบัตรแสดงตน... เมื่อนับแล้วปรากฏว่ามีแค่ 240 เสียง ถือว่าไม่ครบองค์ประชุม ประธานฯ ต้องปิดการประชุมสภาไปอีกครั้ง ทำให้การตั้ง กมธ.เช็กบิล ม.44 ยังคงค้างเติ่งคาสภา

ชวน หลีกภัย
มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ต่างงัด “เกมการเมือง” มาสู้กัน เพราะตามวาระแล้ว หากญัตติการตั้งกมธ.เช็กบิล ม.44 ผ่านไป ไม่ว่าจะตั้งได้ หรือถูกตีตก วาระต่อไปก็คือ ญัตติการตั้ง กมธ.เพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ต้องการให้ตั้งกันในช่วงนี้เช่นกัน แม้ว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะถูกบรรจุไว้ในนโยบายรัฐบาลก็ตาม แต่นั่นเป็นเงื่อนไขภาคบังคับที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นข้อเสนอต่อพรรคพลังประชารัฐ ก่อนเข้าร่วมรัฐบาล...

เมื่อย้อนกลับไปดูผลโหวตในวันที่ 27 พ.ย.ที่รัฐบาลแพ้ฝ่ายค้าน ในการตั้ง กมธ.เช็กบิล ม.44 ก็ปรากฏว่ามีการเล่นเกมการเมืองในฝั่งรัฐบาลเองด้วย ...เพราะมี ส.ส.ประชาธิปัตย์ 6 คน ที่ทำตัวเป็น “งูเห่า” โหวตสวนมติวิปรัฐบาล หันไปหนุนฝ่ายค้าน

“สาทิตย์ วงศ์หนองเตย-เทพไท เสนพงศ์-อันวาร์ สาและ-ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์-กันตวรรณ ตันเถียร-พนิต วิกิตเศรษฐ์” คือ “6 งูเห่าสีฟ้า” ที่โหวตสวนในครั้งนี้...โดย “เทพไท เสนพงศ์” บอกว่าไม่ได้โหวตสวน... เพียงแค่เห็นด้วยกับฝ่ายค้านเท่านั้น ... เพราะญัตติที่เสนอให้มีการตรวจสอบการใช้ ม.44 ของ คสช.นั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์ โดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรค ก็เสนอเช่นกัน ดังนั้น ถ้าให้โหวตใหม่ก็ยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิม คือ อยู่ข้างเดียวกับฝ่ายค้าน...นั่นเป็นเหตุผลที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่งยกขึ้นมาชี้แจง

แต่ผู้ที่ติดตามการเมืองเห็นว่า ในช่วงนี้ประชาธิปัตย์กับพลังประชารัฐที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเกิดการ “ระหองระแหง” จากการที่ประชาธิปัตย์ประกาศจะส่ง “อภิสิทธิ์” ไปนั่งเป็นประธาน กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายพลังประชารัฐยอมไม่ได้... เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าอภิสิทธิ์เป็นผู้นำคัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของ คสช.มาตั้งแต่ต้น ขืนปล่อยให้มานั่งเป็นประธานการแก้ไขรัฐธรรมนูญคงดูไม่จืดแน่ ... จึงมีการวัดพลังภายในกัน สุดท้ายประชาธิปัตย์ต้องยอมถอย ไม่ส่งชื่อ “อภิสิทธิ์” ไปร่วมเป็นกรรมาธิการฯ

เทพไท เสนพงศ์ - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ “เทพไท” ไปเดินตลาดแล้วบอกว่าเศรษฐกิจแย่ พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ เพราะประชาชนไม่มีกำลังซื้อ...ซ้ำยังจัดหนักซัด “ลุงตู่” ว่าเป็นนายทหารเก่า ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ ผิดพลาดใช้คนไม่ตรงงาน และ เหมายกเข่งทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลลุงตู่ ชุดนี้ล้มเหลว! โดยทำเป็นลืมไปว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ดูแลด้านเศรษฐกิจ ทั้งสินค้าเกษตร และส่งออก ...จึงถูก “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ที่เป็นอดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ สวนเอาหนักๆ...

การโหวตสวนของประชาธิปัตย์ ครั้งนี้จึงเหมือนเป็นการ “เอาคืน” และเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า นี่แค่เป็นการโหวตตั้งคณะกรรมาธิการเท่านั้นนะ ...ถ้าเป็นกฎหมายสำคัญ อย่างกฎหมายการเงินละก็ รัฐบาลพังครืนได้ทันที ...

เจอการเล่นการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลเข้าแบบนี้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับทนไม่ไหว ต้องออกมาทวงสัญญาลูกผู้ชายกันเลยทีเดียว ...

“ผมเป็นทหารเก่า สัญญาลูกผู้ชายสุภาพบุรุษสำคัญที่สุด การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องร่วมรัฐบาลจริงๆ ไม่ใช่ต่อสู้กันทางการเมืองอย่างเดียว มันไม่ได้ หรือจะมองอนาคตวันข้างหน้าเรื่องการเลือกตั้ง มันยังมาไม่ถึงตอนนี้ ถึงเวลาก็ค่อยว่าอีกทีในตอนนั้น แต่วันนี้บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความขัดแย้งของสงครามการค้า เราจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เลยหรือ...โจมตีกันไปมามันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งกับพรรคการเมืองของตนเองก็ไม่เกิด ประชาชนเขาเรียนรู้ และเชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจได้เองในวันข้างหน้าในการเลือกตั้ง”

คงชัดเจนแล้วนะว่า “ลุงตู่” ทวงสัญญาลูกผู้ชายจากพรรคไหน!!

** ท้า “กราบตีน” กันเลยทีเดียว! ปม “ปารีณา” รุกป่า รอด-ไม่รอด ก็อยู่ที่กระบวนการตรวจสอบแล้วละงานนี้

ปารีณา ไกรคุปต์ - อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์
ตอนนี้สปอตไลต์ส่อง ส.ส. “ปารีณา ไกรคุปต์” พรรคพลังประชารัฐ ราชบุรี ทุกฝีก้าว ทำอะไรก็ดูจะครองพื้นที่สื่อไปหมด โดยเฉพาะปมฟาร์มไก่รุกที่ป่า รวมไปถึงเปิดศึกกับนายพลผู้เฒ่า “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ประธาน กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ อย่างเผ็ดมัน

“เอ๋” ปารีณาต้องโดนไล่บี้ ไล่ต้อนถาม พยายามหลบเลี่ยงตอบคำถามจนว่ากันว่า ร้อนรนกลายเป็นลนลานขึ้นรถจะขับรถออกจากสภาก็ยังโดนวิ่งไล่ตาม โดนถ่ายคลิปแชร์กันวนไปในโลกออนไลน์ ในประเด็นขับรถปีนฟุตปาธ ขาดความมั่นใจกันไป…

“ปารีณา” จะยังมั่นใจในเรื่องถือครองที่ดินหรือไม่ไม่รู้ แต่ในพื้นที่นอกจากชาวบ้านแห่แหนรถจอดเป็นแถวยาวต่อคิวมาซื้อขี้ไก่ลดราคา กระบวนการตรวจสอบก็จัดชุดใหญ่ลงพื้นที่

กรมป่าไม้ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดราชบุรี และส่วนกลางต่างขนนายช่างรังวัดฝ่ายเทคนิคของกรมป่าไม้ นำอุปกรณ์ตรวจวัดดาวเทียมลงพื้นที่ตรวจสอบและรังวัดพื้นที่ดินของปารีณาเต็มอัตราศึก

ไม่ใช่มีแต่เจ้าหน้าที่เท่านั้น คนที่คึกและจัดว่าเป็นมวยหมัดหนักอีกสองราย คือ “วีระ สมความคิด” ประธานเครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน และ “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบการทำงานของทั้ง 2 หน่วยงานด้วย

ความพีคอยู่ที่ “อัจฉริยะ” ที่ประกาศออกสื่อ ท้าทายไปยัง” สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ที่บอกว่า ปารีณาไม่ผิด โดยบอกว่า ถ้าปารีณาไม่ผิดจะยอม "กราบตีน" ส.ส.สิระ ต่อหน้าคนไทยทั้งประเทศ แต่ถ้าเอาผิดได้ ส.ส.สิระ กล้าลาออกไหม ? หรือ “ลุงป้อม-ลุงตู่” ถ้า ส.ส.ปารีณา ไม่ผิด เอาผิดไม่ได้ ก็กล้าที่จะกราบตีนคนไทยทั้งประเทศเลย แต่ถ้าเอาผิดได้ รัฐบาลกล้าลาออกหรือไม่ ?

ต้องบอกว่า ท้าทายกันแบบนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการรอดูกระบวนการตรวจสอบกันไป

ใครจะก้มกราบตีนใคร? เซ็น MOU กันไว้ก่อนก็น่าจะดี

** “ลุงตู่” ปลื้มปริ่ม มิติใหม่โยกย้ายตำรวจ “บิ๊กแป๊ะ” จัดให้! ได้ใจสีกากี บัญชีลงตัวเร็ว พร้อมให้โอกาสผู้ที่ได้อาวุโส 33% ได้ตำแหน่งหลักด้วย เช็กลิสต์พบเพื่อนร่วมรุ่น นรต.47 เด็กในสังกัด “โจ๊ก” ถูกโยกพ้นทำเลทอง ไม่มีมือมืดจัดโผ วิ่งซื้อ-ขายตำแหน่งเงียบกริบ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ไปนั่งหัวโต๊ะประชุมก.ตร.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวานนี้ มีอาการปลื้มปริ่มอย่างเห็นได้ชัด

จะไม่ให้ลุงตู่ปลื้มได้อย่างไร ... เพราะการจัดสรรอัตราว่างจากการเกษียณอายุราชการของ ขรก.ตำรวจ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2562 และการแต่งตั้ง ขรก.ตำรวจรอบนี้ มีมิติใหม่เกิดขึ้นกับวงการสีกากี เรียกว่าลงตัวเร็ว

การแต่งตั้งในระดับรอง ผบก.-ผกก. ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่ก.ตร.กำหนด ไม่เกินวันที่ 30 พ.ย. ซึ่งที่ผ่านมาก็เลื่อนไปถึงเดือน ม.ค.-ก.พ. ทำให้เกิดปัญหาการแต่งตั้งมาโดยตลอด

งานนี้ลุงตู่ไว้ใจ "บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.อย่างมาก และ "บิ๊กแป๊ะ" ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แถมได้ใจผู้ใต้บังคับบัญชาอีกต่างหาก ที่รอบนี้การแต่งตั้งดูความเหมาะสม มีการเยียวยาให้ความเป็นธรรมแก่ขรก.ตำรวจ ที่ถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมไปไกลจากภูมิลำเนา และการแต่งตั้งผิดฝาผิดตัว ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ

ไฮไลต์ที่ต้องปรบมือรัวๆ และได้รับเสียงชื่นชมคือความกล้าที่ให้โอกาสผู้ที่ได้อาวุโส 33 เปอร์เซ็นต์ได้ดำรงตำแหน่งหลักด้วย

จุดนี้เป็นจุดที่ถูกละเลย ที่ผ่านมากลายเป็นว่า คนที่ควรได้ตำแหน่งก็ไม่ได้ คนที่วิ่งเต้นกลับข้ามหัวข้ามหน้าข้ามตากัน จนกลายเป็นวิ่งซื้อขายตำแหน่งกันอุตลุด มีมือดีที่ตักตวงผลประโยชน์จากเรื่องซื้อขายตำแหน่งกันมานาน

รอบนี้คนที่เหมาะสมได้ทำงานเสียที... แต่หลังการแต่งตั้ง 6 เดือน จะมีการประเมินประสิทธิภาพการทำงาน หากไม่มีประสิทธิภาพสามารถย้ายได้อีก ไม่ดีก็ต้องย้ายกันทุกๆ 6 เดือน

มีรายงานว่า เว็บไซต์กองสารนิเทศ ได้เผยแพร่คำสั่งแต่งตั้งระดับ ผกก.-รอง ผบก.วาระประจำปี 2562 จำนวน 2,429 ตำแหน่ง ที่น่าสนใจ ปรากฏว่า เช็กลิสต์ชื่อตำรวจที่มีความใกล้ชิด เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.47 และเคยเป็นทีมงานของ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต ผบช.สตม. ถูกโยกย้ายพ้นตำแหน่งสำคัญ อาทิ พ.ต.อ.กุลเชษฐ์ บางพราน รอง ผบก.จร. เป็นรอง ผบก.สบส., พ.ต.อ.รัชพล ชนะศรีขจร รอง ผบก.น.1 เป็น รอง ผบก.ภ.จว.ชัยนาท, พ.ต.อ.ชูศักดิ์ ขนาดนิล รอง ผบก.ปอศ. เป็น รอง ผบก.กต.8, พ.ต.อ.พันธุ์ศักดิ์ ค้าดี ผกก.1 บก.ตม.1 โยกเป็น ผกก.กันทรอม จ.ศรีสะเกษ

ว่ากันว่า ทั้งสามส่วนมิติใหม่การโยกย้ายตำรวจรอบนี้ การจัดลงตัวเร็ว ดันอาวุโสขึ้นตำแหน่ง ย้าย "เด็กโจ๊ก" พ้นทำเลทองที่เคยครองมานานรอบนี้มือจัดโผ และจอมยัดไส้ นี่ทำอะไรไม่ได้เลย ซื้อขายตำแหน่งน่าจะเบาลงไปอย่างมาก




กำลังโหลดความคิดเห็น