xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัสประชาธิปัตย์ซัดเศรษฐกิจแย่ แอบเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น! *ครอบครัวชินวัตรปลื้มปริ่ม “โอ๊ค” ความเห็นแย้งจากองค์คณะผู้พิพากษาคดีให้จำคุก 4 ปี! * “ธรรมนัส” ไม่มีสองมาตรฐาน สั่งยึดที่ฟาร์มไก่ “ปารีณา” ที่อยู่ในเขต ส.ป.ก.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



** ถอดรหัสประชาธิปัตย์ซัดเศรษฐกิจแย่ แอบเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น! “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” สอนมวย “เศรษฐกิจ 4 ขา ขับเคลื่อนแค่ขาเดียว” คลังแบกรับมาตรการกระตุ้นสุดกำลัง แต่กระทรวงอื่นทองไม่รู้ร้อน ทั้ง “ค่าครองชีพ-ส่งออก-การเกษตร” ใครกันแน่ต้องดูแล งานนี้ชัดๆ ใครต้องรับผิดชอบอะไร

และแล้วเอกภาพของ “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล “ลุงตู่ 2” ก็มีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ขึ้นมาจนได้ หลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาแล้วพักใหญ่ๆ ไหนจะ “ชิม ช้อป ใช้” ติดลมบนคนพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ดูเหมือนการขับเคลื่อนไปข้างหน้าหากเปรียบเป็นรถยนต์ก็ยังวิ่งตะกุกตะกัก ไม่วิ่งฉิวเหมือนมีอะไรทำให้เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น มิหนำซ้ำพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ยังปล่อยให้ “เทพไท เสนพงศ์” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเหมือน “ด่ากันเอง”

ส.ส.ประชาธิปัตย์หยิบเรื่องโดยอ้างว่ามาจากที่ได้รับเสียงบ่น เสียงโอดครวญจากพ่อค้าแม่ค้า และผู้มาจ่ายตลาดจำนวนมากต่างบอกว่า “ไม่มีเงินจะซื้อข้าวของ” พ่อค้าแม่ค้าพูดถึงกำลังซื้อจากพี่น้องประชาชนมีน้อย ขายของไม่ได้ สาเหตุหลักมาจากสินค้าการเกษตรตกต่ำ! แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการประกันรายได้เกษตรกรแล้ว ก็เป็นแค่มาตรการชั่วคราว เพื่อเยียวยาเกษตรกรเฉพาะหน้า สภาพการเงินไม่ได้หมุนเวียนเหมือนกับภาวะเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในอดีต

ประชาชนได้ฝากเสียงสะท้อนปัญหาปากท้องมายังทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลให้เข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด สิ่งที่ประชาชนกำลังประสบปัญหาในขณะนี้ คือ 1. ราคาพืชผลด้านการเกษตรของเกษตรกรตกต่ำทุกชนิด 2. การเงินขาดสภาพคล่อง เงินในกระเป๋าของเกษตรกรไม่มีในการใช้จ่าย 3. เกิดภาวะการตกงาน หรืออัตราการว่างงานสูงมาก

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
“เทพไท” ยังบอกอีกว่า จากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มาจากการบริหารงานล้มเหลวของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงขอเสนอให้มีการปรับปรุงทีมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการบริหารกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ

พูดไม่พูดเปล่า “เทพไท” ยังพาดพิงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ใช้คนไม่ตรงกันงาน เพราะเป็นนายทหารไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ แถมขณะนี้ทีมเศรษฐกิจ แบ่งออกเป็น “สามก๊ก” สามเหล่า คือ ทีมของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รับผิดชอบกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ทีมของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รับผิดชอบกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ และทีมของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รับผิดชอบกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดังนั้นควรจะต้องใช้การบริหารแบบบูรณาการ มอบหมายให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่แท้จริง

ที่ “เทพไท” พูดๆ มา อดคิดถึงคำที่ว่า “เอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น” ที่ประชาธิปัตย์เคยได้รับในประวัติศาสตร์การเมือง ตีเรื่องเศรษฐกิจ ตีคลัง ว่าไม่ดี แต่ไม่วายแฝงการประโคมโอ่เอาเรื่องประกันรายได้ ขึ้นมาเคลมเป็นผลงาน ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่านโยบาย “ประกันรายได้” เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้หาเสียงมาตลอด

ต้องถอดรหัสดีๆ งานนี้จริงๆ แล้ว “เทพไท” ควรตั้งคำถามกับประชาธิปัตย์ ว่าใช่หรือไม่ ที่ต้องดูแลค่าครองชีพ ใครต้องดูแลปากท้องประชาชน พี่น้อง เกษตรกร? มากกว่าเหยียบย่ำพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นหรือไม่?

เรื่องนี้ต้องชัดๆ ไม่เคลียร์กันดีๆ ชาวบ้านชาวช่องไม่รู้ว่าตกลงคืออะไรกันแน่

เทพไท เสนพงศ์
พอดี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานการประชุมการรายงานผลการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อม สำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศของธนาคารโลก (Doing Business) พูดเหมือนหยั่งรู้ว่า ในน้ำเต้าของ “เทพไท” จะขายอะไร

ว่ากันตามเนื้อผ้า ปัจจุบันกระทรวงการคลังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นด้านการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผ่านการสร้างการจับจ่ายใช้สอย และการลงทุน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการประคับประคองเศรษฐกิจ

ขณะที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องเกิดจากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออก ด้านค่าครองชีพประชาชน ด้านการเบิกจ่ายจากภาครัฐ รวมถึงด้านการเกษตรที่จะต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน

คำถามคือ กระทรวงพาณิชย์ของ “รมว.จุรินทร์” พรรคประชาธิปัตย์ทำอะไรบ้าง?

มิแปลกใจที่ “สมคิด” จะซัดหมัดตรงๆ ว่า “มาตรการของกระทรวงการคลังที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ผมได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และมีแนวโน้มจะออกมาตรการเพิ่มด้วยเพราะอยู่ในความรับผิดชอบ ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่นอกเหนือจากคลังจะต้องไปถามเจ้ากระทรวงเองเพราะอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบ ไม่สามารถตอบได้ และในกรณีที่ยังมีข้อสงสัยถึงความเป็นเอกภาพของทีมเศรษฐกิจ หลังไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ๆ โดยรวมจากทุกกระทรวงดังเช่นที่ผ่านมา ส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีไม่มากนัก เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงขับเคลื่อนจาก 4 ขา แต่ในปัจจุบันจะเหลือเพียง 1 ขา คือ ขาที่มาจากกระทรวงการคลังเท่านั้น”

แบบนี้ชัดพอมั้ย? ใครรับผิดชอบอะไร ใครทำอะไร ใครไม่ทำอะไร ในทีมเศรษฐกิจ “ลุงตู่” วัดกันมาเลย!

** ครอบครัวชินวัตรปลื้มปริ่ม “โอ๊ค” ความเห็นแย้งจากองค์คณะผู้พิพากษาคดีให้จำคุก 4 ปี! “วิษณุ” ชี้ยังอุทธรณ์ได้ รอชมภาคต่อไป

พานทองแท้ ชินวัตร
ควันหลงวันนัดฟังคำพิพากษา “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร หลังจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตัดสิน “ยกฟ้อง” คดีร่วมกันฟอกเงินธนาคารกรุงไทย

“โอ๊ค” ในมาดใส่สูท สวมแว่นดำ ที่มาพร้อมครอบครัว มารดา คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร น้องสาว-น้องเขยทั้งสอง บอกหลังรู้ผลคดีว่า “รู้สึกสบายใจ” ท่ามกลางกองทัพนักข่าวรุมล้อมชุลมุน “พานทองแท้” โชว์เสต็ป หลบไม่หลุด ตอบแค่ว่า “เข็ดแล้ว ไม่กล้าให้สัมภาษณ์แล้ว”

งานนี้จึงไม่มีภาพบุคลิกหลุกหลิก เพราะอาการ “ตื่นเต้นเกิน” ออกสื่อเหมือนคราวที่แล้ว ที่คลิปให้สัมภาษณ์กลายเป็นไวรัลฮือฮากระจายไปทั่วโลกออนไลน์

ขณะที่น้องสาว “เอม” พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร น้องสาวโพสต์ภาพ และข้อความผ่านอินสตาแกรม ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้พี่ชายในครั้งนี้

“เอม” พินทองทา โพสต์ข้อความว่า “ขอขอบพระคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งมาให้พวกเรานะคะ พวกเราทุกคนรับรู้และซาบซึ้งมากจริงๆ ค่ะ และขอขอบคุณครอบครัวของเราที่อบอุ่น และคอยดูแลประคองความรู้สึกกันตลอด ไม่ว่าคุณแม่ที่อยู่ใกล้ หรือรวมถึงคุณพ่อที่อยู่ไกล แต่กำลังใจส่งมาไม่ห่าง...ในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในข่าวดีที่สุดของครอบครัวเราเลยค่ะ ขอบคุณทุกคนนะคะ รวมถึงสื่อมวลชนทุกท่านด้วยนะคะ...”

“อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร บอกว่า ขอบพระคุณทุกคนสำหรับกำลังใจที่ให้พี่ชายของเราในวันนี้ และที่ผ่านๆ มานะคะ มันมีความหมายมากจริงๆ สำหรับเรา ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองให้วันนี้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราค่ะ #familymeanseverythin

งานนี้เรียกว่าครอบครัวชินวัตร ปลื้มปริ่มกับคำพิพากษา และกระบวนการยุติธรรม ผิดกับกรณีของทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ที่เคยตัดพ้อและพร่ำบ่นว่า ทั้งสองคนไม่ได้รับความเป็นธรรมตลอด

คดีนี้ “โอ๊ค” ถูกพนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และ สมคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 จากกรณีรับโอนเงินเป็นเช็ค จำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี โดยโจทก์ระบุ เงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทยฯ กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มี "วิชัย กฤษดาธานนท์" ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับ "รัชฎา กฤษดาธานนท์" บุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตกเป็นจำเลยในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว

แน่นอนว่า เบื้องหลังที่ “โอ๊ค” รอดคดี ย่อมเป็นประเด็นที่สนใจกัน โดยศาลอ่านคำพิพากษา เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า "พานทองแท้" จำเลยได้รู้ที่มาของเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่ วิชัย กฤษดาธานนท์ โอนเข้าบัญชีว่า วิชัย ได้มาจากการกระทำผิดทุจริตการปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย โดยขณะที่รับโอนเงินนั้น "โอ๊ค" มีอายุเพียง 26 ปี และขณะนั้นมีเงินรายได้จากหุ้นในบริษัทอยู่แล้วถึง 4,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเงิน 10 ล้านบาทแล้ว คิดเป็น 0.00 25 เปอร์เซ็นต์จากยอดเงินดังกล่าว ขณะที่โจทก์นำสืบได้เพียงว่า ขณะที่รับโอนหุ้นพานทองแท้ เป็นบุตรชายของทักษิณ ชินวัตร และ มีความสนิทสนมกับครอบครัวของวิชัย เพียงเท่านั้น

เว็บไซต์ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รายงานเพิ่มเติมว่า คดีนี้ศาลฯ เห็นว่า เส้นทางการเงินดังกล่าว เป็นไปด้วยความเปิดเผย ไม่ปิดบัง หรือซุกซ่อน หรืออำพรางแต่อย่างใด นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถตรวจสอบเส้นทางเงินได้ตลอดเวลา ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลภายหลังได้ ไม่ใช่เป็นการปกปิด หรือ อำพรางการได้มา

พฤติการณ์จึงยังเชื่อไม่ได้ว่า "พานทองแท้" ได้เงินจาก วิชัย กฤษดาธานนท์ มาจากการกระทำความผิด ในเมื่อไม่รู้ หรือเชื่อว่าไม่รู้ว่า เงินดังกล่าวมาจากการกระทำความผิด คดีจึงฟังไม่ได้ว่าสมคบกับวิชัยในการฟอกเงิน

ภายหลัง ผู้พิพากษาชี้แจงอีกว่า คดีดังกล่าวเกิดความเห็นแย้งกันขึ้น ภายใต้การพิจารณาข้อกฎหมายเดียวกัน โดยหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษา ยืนยันความเห็นว่า ควรพิพากษาลงโทษจำคุก นายพานทองแท้ "4 ปี" โดยในคำพิพากษาศาลฉบับเต็ม จะแนบความเห็นแย้งของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมไว้ด้วย

มาถึงตรงนี้ "โอ๊ค" พานทองแท้ อาจจะสบายใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ "วิษณุ เครืองาม" ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวเรื่องกฎหมายมาเยอะ ชี้ไว้ว่า อัยการยังอุทธรณ์คดีได้

นั่นแปลว่า คดียังต้องตามดูกันยาวไป... ภาคต่อจะมาหรือไม่

** “ธรรมนัส” ไม่มีสองมาตรฐาน สั่งยึดที่ฟาร์มไก่ "ปารีณา" ที่อยู่ในเขต ส.ป.ก. เตรียมนำมาจัดสรรใหม่ ให้ผู้มีคุณสมบัติเข้าประกอบอาชีพเกษตรกรรม

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
"เอ๋" ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กำลังตกที่นั่งลำบาก จากกรณีครอบครองที่ดิน 1,706 ไร่ ที่ อ. จอมบึง จ. ราชบุรี ทำฟาร์มเลี้ยงไก่ ซึ่งขณะนี้มีการตรวจสอบแล้วว่า ส่วนหนึ่งเป็นที่ดินส.ป.ก. และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่ป่าสงวน

เรื่องนี้ "เปิดหัว" มาจาก "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ ทำหนังสือร้องเรียนไปที่ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบที่ดิน ที่ "ปารีณา" แจ้งไว้ในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อป.ป.ช. เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.ในปีนี้เอง ว่าครอบครอบที่ "ภบท.5" จำนวน 85 แปลง รวมเนื้อที่ 1,706 ไร่ ว่าที่ดินดังกล่าว เป็นที่ ส.ป.ก. หรือรุกที่ป่าสงวนหรือไม่

การร้องเรียนของ "เรืองไกร" เป็นจังหวะต่อเนื่องกับที่ "ปารีณา" เพิ่งพาชาวบ้านจาก อ.จอมบึง เข้าร้องเรียนต่อ "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่า "สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ" แม่ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ฮุบที่ป่าสงวน ที่ชาวบ้านต้องการดูแลรักษาปลูกป่าเพิ่มให้เป็นป่าชุมชน ... ซึ่งพิกัดที่ดินของแม่ธนาธร กับที่ดินของปารีณา อยู่ไม่ไกลกันเสียด้วย

เรื่องนี้จึงอยู่ในความสนใจของสังคม และสื่อมวลชน เพราะเหมือนเป็นการถูก "เอาคืน" ในระหว่างที่ "ปารีณา" กำลังรุกไล่ "แม่ธนาธร" และก็ติดตามดูว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร

"ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" ในฐานะรมช.เกษตรฯ ที่กำกับดูแล สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเป็นส.ส.ร่วมพรรคกับ "ปารีณา" และ "วราวุธ ศิลปอาชา" รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่กำกับดูแลกรมป่าไม้ จึงนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้

ปารีณา ไกรคุปต์
และเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักงานป่าไม้จังหวัดราชบุรี และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จ.ราชบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้ากรมการปกครอง จึงนำหมายค้นพร้อมแผนที่ทางอากาศ เข้าทำการตรวจค้นพื้นที่ดังกล่าว ที่เป็นฟาร์มไก่ ชื่อ "เขาสน 1 และ เขาสน 2" โดยผู้ใหญ่บ้านในท้องที่นั้นเป็นผู้นำตรวจค้น เนื่องจากวันนั้น "ปารีณา" ไม่อยู่บ้าน จึงไม่ได้เป็นผู้นำชี้

ปรากฏว่า พื้นที่ที่เป็นฟาร์มไก่ "เขาสน 1" อยู่ในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดินทั้งหมด เนื้อที่ 691 ไร่ ส่วน “เขาสน 2” เป็นพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ 46 ไร่ ...โดยในขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบไม่พบบุคคลใด และไม่พบการเลี้ยงไก่แล้ว เนื่องจากทางฟาร์มเพิ่งจับไก่ออกไปทั้งหมด เจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงทำการปิดประกาศยึดพื้นที่ในส่วนที่อยู่ในเขตป่าสงวน 46 ไร่ในวันนั้น…

และวันรุ่งขึ้น "ร.อ.ธรรมนัส" ก็ได้สั่งการให้เลขาธิการ ส.ป.ก.เข้ายึดพื้นที่ 691 ไร่ ในส่วนที่เป็นพื้นที่ ส.ป.ก.คืนเป็นของหลวงทั้งหมด เนื่องจากผิดตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพราะครอบครองพื้นที่เกิน 50 ไร่ จากนั้นก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย...ส่วนพื้นที่ที่ยึดคืนมานั้น ก็เตรียมนำมาจัดสรรใหม่ ให้ผู้มีคุณสมบัติเข้าประกอบอาชีพเกษตรกรรม

แม้ว่าในส่วนของที่ ส.ป.ก.691 ไร่ ที่ถูกยึดคืนเป็นของหลวง และอาจถูกฟ้องร้องทางแพ่งตามมา แต่ในส่วนที่รุกป่าสงวน 46 ไร่นั้น เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีความผิดทางอาญา โดย พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (1) ระบุความผิดสำหรับผู้บุกรุกเนื้อที่เกิน 25 ไร่ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 2-15 ปี และ ปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ...และหากถึงที่สุดแล้ว "ปารีณา" ต้องโทษจำคุก ก็จะกระทบถึงสถานภาพ ส.ส.ด้วย

วันนี้ "ปารีณา"จึงตกที่นั่งลำบาก ที่แม้แต่ "ผู้หลักผู้ใหญ่" ในรัฐบาลก็ไม่สามารถปกป้อง โอบอุ้มได้ เพราะเพียงแค่นี้ก็กลายเป็นเป้าให้ฝ่ายค้านเตรียมถล่ม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น