เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องแสดงความยินดีกับ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนโตของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษายกฟ้องในคดีร่วมกันฟอกเงินที่ได้จากการปล่อยสินเชื่อธนาคารกรุงไทยโดยมิชอบ เนื่องจากหลักฐานของฝ่ายโจทก์ไม่แน่นหนาเพียงพอ
อย่างน้อยก็ทำให้เขารอดพ้นคุกไปได้ แต่เนื่องจากนี่เป็นเพียงแค่ศาลชั้นต้น ทางพนักงานอัยการสามารถยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ทำให้ต้องมาลุ้นกันว่า จะมีการยื่นอุทธรณ์ตามกำหนดหรือไม่
ก่อนหน้านี้ อัยการได้ยื่นฟ้องเขาเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 จากกรณีรับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาท เข้าบัญชี โดยกล่าวหาว่าเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทย กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มี นายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 80 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับ นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 53 ปี บุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตกเป็นจำเลยในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
อย่างไรก็ดี สำหรับคดีนี้อัยการยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ นายวิชัย และ นายรัชฎา บุตรชาย บริษัทเอกชนในเครือกฤษดาฯ รวม 6 คน ที่ถูกยื่นฟ้องความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินจากการทุจริตปล่อยกู้ดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
โดยชั้นพิจารณาศาลอาญาคดีทุจริตฯ นายพานทองแท้ จำเลย ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง เงินดังกล่าวเป็นส่วนที่จะร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้าซูเปอร์คาร์กับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ขณะที่นายพานทองแท้ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี 1 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ทั้งนี้ ศาลพิพากษายกฟ้อง นายพานทองแท้ เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่านายพานทองแท้จำเลยได้รู้ที่มาของเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่นายวิชัย กฤษดาธานนท์ โอนเข้าบัญชีว่านายวิชัยได้มาจากการกระทำผิดทุจริตการปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย โดยขณะที่รับโอนเงินนั้นจำเลยมีอายุเพียง 26 ปี และขณะนั้นมีเงินรายได้จากหุ้นในบริษัทอยู่แล้วถึง 4,000 ล้านบาทเมื่อเทียบกับเงิน 10 ล้านบาท แล้วคิดเป็น 0.00 25 เปอร์เซ็นต์ จากยอดเงินดังกล่าว ขณะที่โจทก์นำสืบได้เพียงว่าขณะที่รับโอนหุ้นในพานทองแท้เป็นบุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร และมีความสนิทสนมกับครอบครัวของนายวิชัยเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ดี นาทีนี้สำหรับ นายพานทองแท้ ชินวัตร ถือว่าโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยการที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องในครั้งนี้ทำให้เขาปลดเปลื้องพันธนาการไปได้ สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยเสรีและไม่มีเงื่อนไขเหมือนก่อนหน้านี้ที่หากต้องการเดินทางออกนอกประเทศก็ต้องขออนุญาตจากศาลเสียก่อน
ขณะเดียวกัน เชื่อว่า นับจากนี้ไปก็คงทำให้ นายพานทองแท้ คลายความเครียดลงไปได้มาก หลังจากก่อนหน้านี้บรรดาญาติพี่น้องคนใกล้ชิดในครอบครัวเคยบอกว่าคดีดังกล่าวทำให้เขาเกิดความเครียดอย่างมาก เนื่องจากถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต และที่น่าสังเกต ก็คือ เมื่อครั้งที่เขาเดินทางมามาศาลก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 กันยายน เพื่อมาไต่สวนพยานครั้งสุดท้ายก็มีร่างกายซูบผอมจนผิดไปจากเดิมมาก จนมีการสงสัยและสอบถามกันมากทำให้ น้องสาวคือ พิณทองทา คุณากรวงศ์ และ แพทองธาร ชินวัตร ต่างออกมาโพสต์ข้อความยืนยันว่าไม่ได้ป่วย แต่เกิดความเครียดดังกล่าว รวมไปถึงการประชดประชันว่า “ไม่ได้เป็นโรคอะไรเพียงแต่เป็นโรคถูกกลั่นแกล้ง” อะไรประมาณนั้น
ดังนั้น เมื่อศาลยกฟ้องไป แม้ว่าจะด้วยสาเหตุหลักฐานของศาลโจทก์มีไม่หนักแน่นพอ แต่สำหรับ นายพานทองแท้ ชินวัตร และคนในครอบครัว โดยเฉพาะ นายทักษิณ ชินวัตร คงจะยินดีไปด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาลุ้นกันต่อว่าทางอัยการจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันหรือไม่ ซึ่งหากเป็นไปตามนั้นก็ต้องถือว่าเขายังหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ดี เพราะนี่คือคดีอาญามีเดิมพันสูง เพราะเสี่ยงคุกตะราง แต่ถึงอย่างไรในเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องก็ต้องถือว่าน่ายินดีกันก่อน ส่วนอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึงถือว่าค่อยมากันอีกที
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ในเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องแบบนี้ กลับเงียบกริบ เสียงวิจารณ์ที่เคยระบุว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” หรือการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจกลับไม่มีการพูดถึงแต่อย่างใด หรือเป็นเพราะผลออกมาเป็นบวก จึงไม่ต้องพูดมาก ยกเว้นผลออกมาเป็นตรงกันข้ามหรือเปล่า !!