xs
xsm
sm
md
lg

"สมคิด"เดือดปั๊มศก.มีแค่คลัง แนะไล่ถามกระทรวงอื่นทำอะไร

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน360-"สมคิด"ซัดแรง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจปัจจุบันเหลือแค่ "คลัง” ฝั่งเดียว จากที่ควรจะขับเคลื่อนได้ 4 ขา เผยกระทรวงเศรษฐกิจอื่นยังเฉย ทั้งที่ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน แนะไปถามเจ้ากระทรวงที่รับผิดชอบ เหตุไม่ได้รับผิดชอบทีมเศรษฐกิจทั้งหมด ส่วนการอำนวยความสะดวกทำธุรกิจในไทย ตั้งเป้าปี 63 อันดับ Doing Business ต้องติด 1 ใน 20 "อุตตม"เตรียมชง ครม.วันนี้ เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แย้มเน้นดูแลเกษตรกร ลูกหนี้แบงก์รัฐ เติมเงินเข้ากองทุนหมู่บ้านกว่า 7.9 หมื่นแห่ง คาดมีเงินเงินหมุนเข้าระบบอีก 5 หมื่นล้านบาท

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการรายงานผลการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศของธนาคารโลก (Doing Business) ว่า ปัจจุบันกระทรวงการคลังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นด้านการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผ่านการสร้างการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการประคับประคองเศรษฐกิจ ขณะที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องเกิดจากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออก ด้านค่าครองชีพประชาชน ด้านการเบิกจ่ายจากภาครัฐ รวมถึงด้านการเกษตรที่จะต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน

"มาตรการของกระทรวงการคลังที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ผมได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และมีแนวโน้มจะออกมาตรการเพิ่มด้วย เพราะอยู่ในความรับผิดชอบ ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่นอกเหนือจากคลัง จะต้องไปถามเจ้ากระทรวงเอง เพราะอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบ ไม่สามารถตอบได้ และในกรณีที่ยังมีข้อสงสัยถึงความเป็นเอกภาพของทีมเศรษฐกิจ หลังไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ๆ โดยรวมจากทุกกระทรวงดังเช่นที่ผ่านมา ส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีไม่มากนัก เนื่องจากที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงขับเคลื่อนจาก 4 ขา แต่ในปัจจุบันจะเหลือเพียง 1 ขา คือ ขาที่มาจากกระทรวงการคลังเท่านั้น และตนจะทำงานเฉพาะในส่วนของกระทรวงที่ตนเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ"

นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินงานมาอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขอุปสรรคในการประกอบธุรกิจในไทยต่อเนื่อง แม้ในปีที่ผ่านมา ปรับดีขึ้น 6 อันดับจากอันดับที่ 27 มาอยู่ที่ 21 แต่ยังมีอีกหลายด้านที่ไทยยังต้องมีการปรับปรุง เพื่อผลักดันให้ไทยได้รับอันดับดีขึ้น โดยมีเป้าหมายภายในปี 2563 จะต้องติด 1 ใน 20 อันดับแรกให้ได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทย แต่ยอมรับอาจไม่ใช่เรื่องง่าย

ทั้งนี้ ยังได้สั่งการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.) ให้ความรู้และความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันในการลดอุปสรรคการทำธุรกิจในไทย เนื่องจากในปี 2563 ธนาคารโลกจะเริ่มเข้ามาเก็บข้อมูล โดย กพร. ต้องเน้นให้เห็นว่าไม่ใช่มีแต่ภาครัฐและเอกชนเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ แต่อันดับ Doing Business ยังเป็นตัวสะท้อนถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นสำหรับการให้บริการจากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปในการติดต่อกับหน่วยงานราชการ

ด้านนายอุตตมม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวถึงการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (26 พ.ย.) ว่า จะเป็นมาตรการที่ให้ความสำคัญกับทุกกลุ่มและดูแลเศรษฐกิจในหลายด้าน ทั้งเรื่องการกระตุ้นการบริโภค เพื่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียในระบบ และยังจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงในด้านต่างๆ เช่น ที่อยู่อาศัย การดูแลการลงทุน การดูแลผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลาง รวถึงการดูแลภาคเกษตร โดยการออกมาตรการจะพิจารณาตามความเหมาะสม ส่วนรายละเอียดจะเปิดเผยอีกครั้งหลัง ครม. ได้พิจารณาอนุมัติแล้ว

"ที่ผ่านมา รัฐบาลและกระทรวงการคลังได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด แม้ปัจจุบันตัวเลขเศรษฐกิจรายไตรมาสเริ่มจะเป็นบวกแล้วก็ตาม แต่ในการดูแลเศรษฐกิจนั้น กระทรวงการคลังต้องดำเนินการต่อไป และจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น กระทรวงการคลังคงอยู่เฉยไม่ได้ หากปล่อยไว้ ความมั่นใจก็คงไม่เกิด อีกทั้งยังเกิดความรู้สึกหดหู่ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมออกมา โดยทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชนต้องช่วยกัน สว่นมาตรการใหม่ที่จะออกมา จะเพียงพอต่อการดูแลเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 หรือไม่นั้น เห็นว่า หน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังจะมีแค่ส่วนหนึ่ง โดยจะเป็นส่วนที่กระทรวงการคลังมีหน้าที่รับผิดชอบ ขณะที่กระทรวงอื่นจะมีหน่วยงานอื่นๆ ดูแลรับผิดชอบ ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่ทำงานด้วยกัน เพียงแต่กระทรวงการคลังจะไปตอบแทนกระทรวงอื่นไม่ได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูล"นายอุตตมกล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในการประชุม ครม. วันนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการด้านเศรษฐกิจให้ที่ประชุมพิจารณา โดยจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เช่น การดูแลเกษตรกรกลุ่มรากหญ้า โดยจะช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวนาปี 2562/63 ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.31 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 3.4 ล้านไร่ หาก ครม. อนุมัติ จะสามารถจ่ายเงินให้เกษตรกรได้ทันที คาดว่าจะทันกับช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.2562

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการพักหนี้เงินต้นเป็นเวลา 1 ปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินจากธนาคารของรัฐ และมีโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ที่ต้องการกู้เงินรายใหญ่ มาตรการพักหนี้เงินต้นและสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี เพื่อให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าสำหรับการใช้สอยเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการจัดสรรเงินเพิ่มเติมให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) อีกกว่า 7.9 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ


กำลังโหลดความคิดเห็น