xs
xsm
sm
md
lg

มือปราบลัทธิชังชาติ “หมอวรงค์” ชี้เปรี้ยง 5 สิ่งเลวร้ายปลูกฝังประชาชน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พร้อมมอบกายถวายหัว “หมอวรงค์” ประกาศลั่น ปราบลัทธิชังชาติให้สิ้นซาก พร้อมยก 5 พฤติกรรมสุดเลวร้าย “ปฏิกษัตริย์นิยม, ไม่เอา พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา, ไม่เอาศาสนา ฯลฯ” ปลูกฝังประชาชน

หลายคนที่ฟัง “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก และสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) ใหม่หมาด อ้างเหตุผลที่ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะต้องการออกไป “ปราบลัทธิชังชาติ” ร่วมกับพรรค รปช. อาจคิดว่านี่คือ วาทกรรมทางการเมือง อย่างที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวโจมตี แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ดี เรื่องนี้ “หมอวรงค์” พูดจริงทำจริง และเชื่อมั่นว่า มี “ลัทธิชังชาติ” เกิดขึ้นจริง

อย่างวันนี้(25 พ.ย.62) เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม โพสต์หัวข้อ “ลัทธิชังชาติ(Anti-Patriotism)”

โดยระบุว่า หลังจากที่ผมประกาศว่า จะต่อสู้กับลัทธิชังชาติ ด้วยการใช้ความจริงเป็นอาวุธ กลายเป็นว่า มีคนของพรรคการเมืองหนึ่งออกมาเดือดร้อน ทั้งๆที่ผมไม่ได้ระบุว่าใคร เรียกร้องให้ต้องอธิบายคำว่าชังชาติ ว่ามีความเป็นสากลอย่างไรให้ได้ด้วย

อยากจะอธิบายว่า การกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชาติในหลายกรณีดังนี้

1. ปฏิกษัตริย์นิยม พยายามจาบจ้วงเบื้องสูง

2. ไม่ส่งเสริมศาสนาทุกศาสนา ทั้งๆที่ศาสนาอยู่กับสังคมไทยมาหลายร้อยปี

3. ดูแคลนวัฒนธรรม ประเพณีว่าเป็นของโบราณ ไม่เอาการยิ้ม ไหว้ครู การเรียกลุง ป้า น้า อา ซึ่งถือว่าเป็นรากของสังคมไทย ตลอดจนดูถูกดูแคลนประเทศไทย

4. เมื่อมีปัญหาชอบพาต่างชาติเข้ามาวุ่นวายเรื่องภายใน ตลอดจนประจานประเทศให้ชาวต่างชาติมายุ่ง

5. มีพฤติกรรมทำลายความเชื่อมั่นและไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล

สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมชังชาติ ที่พยายามปลูกฝังความเชื่อนี้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนเรียกว่าลัทธิชังชาติ

แม้แต่อเมริกา ในอดีตก็เคยมีคดีความ ตัดสินให้จำคุกมาแล้วในกรณีชังชาติ (anti patriotism) และไม่ถูกคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกกรณีชังชาติ #ปราบลัทธิชังชาติ

ความจริง “หมอวรงค์” โพสต์เกี่ยวกับ “ลัทธิชังชาติ” หลายครั้งหลายโอกาส ตามกระแสการเมือง เพื่อหยุดยั้งพรรคการเมืองบางพรรค ที่มีพฤติกรรมสอดคล้องกับที่หยิบยกมาดังกล่าว

ที่น่าสนใจ คือโพสต์เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom เมื่อวันที่ 10 ก.ค.62 ระบุว่า

"ผมมีโอกาสได้ชมคลิป สนทนาทางวิชาการ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข เทียบกับ constitutional monarchy ของอังกฤษ ซึ่งสองสามีภรรยา พยายามอ้างวิชาการ เปรียบเทียบกัน เขาพยายามโยงว่า สถาบันเบื้องสูงของเรามีบทบาทมาก

ผมมองว่าทั้งสอง มีความคิดแบบปฏิกษัตริย์นิยม ซึ่งไม่เคยพูดถึงปัญหาของนักการเมืองไทย ที่ทุจริตเชิงนโยบาย ใช้อำนาจไม่ชอบ จังหวัดไหนไม่เลือกดูแลทีหลัง ไม่เคารพคำตัดสินของศาล ออกกฎหมายล้างผิด และมีพฤติกรรมที่มิบังควร

ผมยืนยันว่า ปัญหาความไม่สงบ ความวุ่นวายของประเทศเกิดจากนักการเมืองเป็นต้นเหตุ ถ้านักการเมือง ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ทหารก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงสถาบันเบื้องสูงเลย

ที่สำคัญไทยกับฝรั่ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เรามีลุง ป้า น้า อา เรามีคำว่า เกรงใจ เรามีประเพณี วัฒนธรรม และศาสนาที่ไม่เหมือนเขา และคนไทยเราใช้สถาบันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว

ดังนั้นอย่าลืมนะครับว่า ที่นี่คือประเทศไทย การปกครองของเรา ก็ต้องเป็นอัตลักษณ์ของเรา นั่นคือระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...อย่าพยายามเปลี่ยนให้เราเป็นฝรั่งเลย #เราเป็นไทย #thainess

นอกจากนี้ พฤติกรรมที่ถูกจับจ้องและวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูงตามมา ก็คือ ในช่วงของการประชุมวุฒิสภา เพื่อรับรองพระราชกำหนดอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง ก่อนมีมติ 223 ต่อ 0 และงดออกเสียง 3 คน

นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ใช้สิทธิอภิปรายสนับสนุน และชี้แจงสังคม หลังเกิดปรากฎการณ์ 70 ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ลงมติไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพลฯ ตอนหนึ่ง ว่า

การที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นจุดยืนของพรรค ถือเป็นสิ่งที่ไม่สง่างาม และสร้างความกินแหนงแคลงใจให้กับประชาชนที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมขอบคุณ 3 ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ที่ลงมติเห็นชอบ เพราะถือเป็นการใช้เอกสิทธิส่วนตัวในการตัดสินใจด้วยความคิดตัวเอง ไม่ใช่มติพรรค และตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด พรรคอนาคตใหม่ 70 คน ต้องสร้างความแปลกประหลาดให้เกิดขึ้น หรือมีเป้าหมายนำเรื่องนี้มาสร้างให้เกิดความแตกแยกในสังคม

“พรรคอนาคตใหม่ ไม่ควรแสดงจุดยืนต่อต้านสถาบัน โดยใช้คำว่า "แอนตี้รอยัลลิสต์" และ "ปฏิกษัตริย์นิยม" พร้อมเตือนให้ 70 ส.ส. ยอมรับความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไป”...

ภาพจากแฟ้ม
กรณีไม่เอา พี่ น้อง ลุงป้า น้า อา ก็ถือว่า มีการพูดถึงเรื่องนี้จริง โดยย้อนไปถึงคำสัมภาษณ์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ให้สัมภาษณ์ เว็บไซต์เดอะโมเมนตัม เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2561 ก่อนหน้าวันยื่นขอจดชื่อพรรคไม่กี่วัน โดยตอนหนึ่งเมื่อถามเกี่ยวกับการมีคนหลายรุ่นหลายกลุ่มอยู่ในพรรค พอไปอยู่ในองค์กรจริงๆ จะไม่มีปัญหาเรื่องระบบอาวุโสหรือไม่

นายธนาธรกล่าวว่า “ผมยังนั่งคุยกับพวกเขาอยู่เลยว่า ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้คำว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา อยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิดก็ต้องทำในพรรคก่อน เราต้องการยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน เรียกคนอื่นเป็นพี่ ป้า น้า อาเมื่อไร มันเป็นการเข้าไปอยู่โครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่า คุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน คนทุกคนจะกล้าแสดงความคิดเห็น...”

มาถึงเรื่องไม่เอาศาสนา นายธนาธรก็ให้สัมภาษณ์นิตยสาร GM
เอาไว้เช่นกัน เมื่อเดือนพ.ค.2560 จนเป็นที่วิพาษ์วิจารณ์อย่างสูง

โดยตอนหนึ่ง GM ถามว่า เราพูดถึงเรื่องหนังสือเยาวชนที่สังคมไทยมุ่งสอนเรื่องคุณธรรมมากกว่าจินตนาการ แล้วส่วนตัวคุณเชื่อในศาสนาไหม

นายธนาธร ตอบว่า ผมคิดว่าทุกคนมีพระเจ้าของตัวเอง แล้วคุณก็คุยกับพระเจ้าของคุณเองได้โดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์ หรือมัสยิด คุณคุยกับพระเจ้าของตัวคุณได้ แม้กระทั่งระหว่างการวิ่ง คุณก็คุยกับพระเจ้าได้ คุณไม่ต้องไปตักบาตร ไปมิสซา หรือละหมาดเพื่อจะคุยกับพระเจ้า สิ่งที่ผมเชื่อก็คือศรัทธาทางศาสนาควรจะเป็นศรัทธาที่เปิดกว้าง และไม่ควรมีวัดหรือศาสนา หรือองค์กรใดมาบังคับหรือเชิดชูความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้มากกว่าความเชื่ออื่นๆ

เช่น รัฐไทยไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะมันทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แก้กันไม่จบ ผู้คนที่อยู่ใน 3 จังหวัด แง่หนึ่งก็เหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะไม่มีที่ยืนที่เท่าเทียมกันกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ

ผมคิดว่ารัฐควรจะถอยตัวเองออกมาจากเรื่องศาสนา ไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย ที่นี่คุณจะนับถือยูดาย คุณจะนับถือเต๋า นับถือเซนก็ได้ เหมือนอย่างธรรมกาย ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับธรรมกาย รัฐก็ไม่ควรไปยุ่ง ปัญหาคือถ้ารัฐไปยุ่ง มันก็จะซับซ้อนวุ่นวายไปหมด

นอกจากนั้นนายธนาธร ยังเคยให้สัมภาษณ์นิตยสารสารคดีเมื่อปี2550 เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง

โดยสารคดี ถามว่า ถ้านิยามว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือการพึ่งตนเองได้ และสร้างภูมิคุ้มกันในธุรกิจของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เพิ่มการลงทุน

นายธนาธร ตอบว่า ผมคิดว่ามีนักวิชาการคนหนึ่ง คือคุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พูดไว้ชัด คือทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง หรือแม้แต่กระแสชุมชนนิยม มันมีรากฐานอย่างหนึ่งคือ ข้างในมันดี และข้างนอกมันเลว อะไรก็ตามที่มันเลวมันมาจากข้างนอกหมด เราอยู่ข้างในเราก็ดีกันอยู่แล้ว โดยที่เราลืมไปอย่างหนึ่งว่า มันเป็นเพียงมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นมา

เวลาเราพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง พูดถึงชุมชนนิยม หรือแม้แต่ในประเทศไทย เราบอกว่าเราไม่เปิดเสรีเพราะเรารู้สึกว่าอะไรก็ตามที่มาจากข้างนอกมันสร้างกิเลส มันสร้างความโลภ มันเอาอะไรต่างๆ ที่ไม่ดีในเชิงจริยธรรมในเชิงศีลธรรมเข้ามา แล้วเราก็พยายามปลูกฝังความคิดแบบชาตินิยมขึ้นมา

แท้จริงแล้วการชูเรื่องชาตินิยมก็เพียงเพราะคุณต้องการปกป้องทุนชาติ เพราะคุณรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาคุณเสียประโยชน์ เพราะคุณแข่งขันสู้บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้ไม่ได้ ถามว่าเศรษฐกิจพอเพียง คุณปิดประเทศหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ปิดประเทศ บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้เข้ามา

ผมถามว่าคุณแข่งขันสู้เขาได้หรือเปล่า ดูธุรกิจใหญ่ๆ ของไทย วันนี้เหลือธุรกิจอะไรบ้างที่ยังเป็นของคนไทย ที่ยังเป็นของทุนชาติอยู่ ผมรู้สึกว่าเหลือไม่เยอะ เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง รถยนต์ไม่มีแล้วที่เป็นของคนไทย ธนาคารแต่ละแห่งไม่มากก็น้อยมีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ แม้แต่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือทุกวันนี้ผู้เล่นก็เป็นต่างชาติทั้งหมด

ผมกำลังบอกว่ากระแสพวกนี้มันมีส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดแบบทุนชาติที่พยายามปลุกกระแสชุมชนนิยม กระแสอนุรักษ์ท้องถิ่นขึ้นมา เพื่อที่จะใช้กระแสนี้ปกป้องธุรกิจของตัวเอง เพราะฉะนั้นในแง่นี้ชาตินิยมจึงเป็นเครื่องมือของนายทุนระดับหนึ่ง

ถ้าถามผมเป็นนายทุนผมชอบไหม ชาตินิยม ชูเลยใช้ของไทย คุณผลิตรถยนต์คุณต้องซื้อของจากบริษัทคนไทย ผมแฮปปี้ แต่ถามว่าท้ายที่สุดใครล่ะได้กำไร ทุนชาติและทุนต่างชาติก็ได้กำไรเหมือนกัน การสะสมทุนก็กระจุกตัวอยู่แค่กลุ่มคนระดับสูงบางกลุ่มเหมือนกัน ถามว่าแล้วทุนชาติกับทุนต่างชาติต่างกันอย่างไร ไม่ต่างกัน เพียงแต่เรามีมายาคติ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นวาทกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง (ผู้จัดการออนไลน์ 24 มี.ค. 2561)

ทั้งหลายทั้งปวง จึงไม่แปลกที่ “หมอวรงค์” ค่อนข้างเชื่อมั่นว่า ในประเทศนี้มี “ลัทธิชังชาติ” อยู่จริง และเขาพร้อมที่จะแปลงร่างจาก “มือปราบ จำนำข้าว” มาเป็น “มือปราบ ลัทธิชังชาติ” โดยพลัน ด้วยการมอบกายถวายหัวเลยทีเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น