“ไพบูลย์” ย้ำร่วม กมธ.ป.ป.ช. ไม่เข้าไปเพิ่มความขัดแย้งหรือมุ่งปลด “เสรีพิศุทธ์” ยอมรับเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคที่ให้เข้ามาทำงาน เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์ใน กมธ.วุฒิสภาหลายปี
วันนี้(22 พ.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากพรรคพลังประชารัฐ ว่าพรรคมีมติให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แทนนายดล เหตระกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนา ยืนยันว่าการเข้าไปทำหน้าที่นี้ ไม่ได้เข้าไปเพื่อเพิ่มความขัดแย้ง แต่ทางพรรคงเห็นว่าเคยมีประสบการณ์เป็นประธานกรรมาธิการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของวุฒิสภามาหลายปี จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยเหลืองานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. และสัดส่วน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐในคณะกรรมาธิการชุดนี้มีเพียง 3 คน จึงปรับให้เหมือนกับคณะกรรมาธิการชุดอื่นๆ ที่มี 4 ถึง 5 คน
“ยืนยันว่าการเข้าทำหน้าที่แทนนายดล ไม่ได้เบียดเบียนโควตาของพรรคชาติพัฒนา เป็นเพียงการสับเปลี่ยนเพื่อให้นายดลไปอยู่คณะกรรมาธิการที่เหมาะสม เพราะผมเองมีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่า ซึ่งน่าจะมีการแจ้งให้ที่ประชุมสภาทราบภายในวันนี้”
ส่วนกระแสข่าวว่าเป็นการมอบหมายจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ให้เข้ามาทำหน้าที่เพื่อคานอำนาจในคณะกรรมาธิการ นายไพบูลย์กล่าวว่า เป็นยุทธศาสตร์ของพรรคที่มอบหมายมาให้ทำงาน ยืนยันว่าการเข้าทำหน้าที่น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า โดยเฉพาะการให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งความขัดแย้งในคณะกรรมาธิการหลายเรื่องอาจเกิดจากความไม่เข้าใจกฎหมาย ดังนั้นการเข้าไปทำหน้าที่จะทำให้มีความชัดเจนขึ้น ให้ข้อมูลด้านกฎหมายได้ เพื่อทำให้การทำงานเป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับป ระเพณีปฏิบัติ และนำไปสู่ความเรียบร้อย
ส่วนข้อสังเกตว่าจะเข้าไปเพิ่มเสียงของกรรมาธิการฝ่ายรัฐบาล เพื่อปลดพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ออกจากตำแหน่งประธานกรรมาธิการสัปดาห์หน้า นายไพบูลย์กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมาชิกจะเสนอในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ส่วนตนเองไม่ได้จะเข้าไปทำหน้าที่เพื่อปลดประธานกรรมาธิการ แต่จะทำงานตามกฎหมายและความถูกต้อง และให้ความเห็นถึงการทำหน้าที่ของกรรมาธิการในสัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนายสิระ เจนจาคะ และนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ โดยมองว่า ทั้งสองคนปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ตามเอกสิทธิ์ และเป็นไปในแนวทางที่จำเป็นต้องทำ
“บทบาทการทำงานในคณะกรรมาธิการกับเรื่องส่วนตัวต้องแยกกัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ต้องทำตามหน้าที่ ทำเกินหรือขาดไม่ได้ หากผมได้เข้าไปทำงาน เชื่อว่าคงจะมีการพูดคุยถึงกรอบการทำงานของคณะกรรมาธิการ แม้จะเคยมีกรณีฟ้องร้องกับผมมาก่อน แต่คงไม่มีปัญหา เพราะท่านก็มีวุฒิภาวะ คงแยกแยะได้ว่าตนเองเข้ามาทำงาน ไม่ได้เข้าเพื่อไปมีปัญหา”
สำหรับกรณีออกคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการโดยไม่มีมติที่ประชุม นายไพบูลย์กล่าวว่า ต้องรอเข้าไปทำหน้าที่ แต่คิดว่าเรื่องนี้ควรจะพักเอาไว้ และหยิบประเด็นความเดือดร้อนของประชาชนมาพิจารณาก่อน แต่ก็วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบทบาทของนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการ ว่าการให้ความเห็นบางเรื่องก็อาจเกินเลยไปบ้าง
เมื่อถามอีกว่าในประเด็นที่ กมธ.ยังมีเจตนาเรียกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร มาชี้แจงด้วยตัวเองแบบซ้ำหลายครั้ง มองอย่างไร นายไพบูลย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องไม่สมควรและควรยุติได้แล้ว ทั้งนี้ แม้จะมี กมธ.ในสัดส่วนพรรคพลังประชารัฐเพิ่มขึ้นเป็น 4 คนนั้น ไม่ใช่ประเด็นที่ท่านจะมาอย่างสบายใจ อีกทั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีประเพณีไหนที่นายกเข้ามาชี้แจง กมธ.ด้วยตนเอง มีเพียงส่งตัวแทนและหนังสือชี้แจงเท่านั้น
ถามต่อว่า หากนายกมาเองจะถือเป็นการสร้างแบบอย่างที่ดีของนักการเมืองหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า นายกไม่ควรมา ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปิดโอกาสและให้เวลาในที่ประชุมสภา เพื่อตอบข้อซักถามและประเด็นต่างๆ ของสมาชิกมากพออยู่แล้ว ดังนั้น หากนายกมา กมธ.ชุดนี้อาจจะมีอีกกว่า 30 คณะ กมธ.เชิญมาชี้แจง ทำให้นายกไม่มีเวลาทำงานในภารกิจ ซึ่งหากฝ่ายค้านต้องการสอบถามในประเด็นใด ตนสนับสนุนให้ใช้ที่ประชุมสภาโดยเฉพาะการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ