เสวนาผู้นำกับอนาคตประเทศไทย “วีระกร” แนะซื่อสัตย์สู้ความไม่ถูกต้อง-รู้อำนาจ “สุดารัตน์” ชี้ต้องเท่าทันโลกสมัยใหม่-เลิกทุนผูกขาด “ธนาธร” อัดอภิสิทธิชนทำชาติล้าหลัง ลั่นสู้ต่อ ไม่สนจบไม่สวย แต่ไม่เลียท็อปบูตแน่ ปชป.รับต้องฟังเห็นต่าง
วันนี้ (21 พ.ย.) ในการอบรมนักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 10 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดการเสวนาในหัวข้อ “ผู้นำการเมืองกับอนาคตประเทศไทย” โดยมีนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ผู้นำที่ดีควรเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ กล้าเปลี่ยนแปลง โดยไม่ต้องลอกเลียนแบบ ทำให้เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ยอมรับโครงสร้างรัฐธรรมนูญเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องแก้ไข แต่รัฐธรรมนูญบางมาตราถ้าแก้แล้วโอกาสจะโดนยุบสภาสูง หรือเป็นยากเกินไปก็อย่าเพิ่งไปทำ ผู้นำประเทศต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญ สู้กับความไม่ถูกต้องในประเทศ ผ่อนปรน ประนีประนอม รู้ถึงอำนาจที่เราเข้าไปไม่ถึง ควรเข้าไปได้แค่ไหน อย่าไปล้ำ ถ้าทำได้ประเทศไทยจะได้มีความสุขแบบไทยๆ ทุกระบอบล้วนมีข้อบกพร่องอยู่ในตัวเอง ตนเชื่อว่าบาปกรรมมีจริง นักการเมืองโกงบ้านโกงเมืองจะมีอนาคตที่ไม่ราบรื่น บางคนอายุ 40 ปี เป็นเอดส์ตายก็มี บางคนไม่ได้อยู่ในประเทศ บางคนติดคุก ขณะที่นักการเมืองที่เป็นรัฐบุรุษอย่าง “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตายเมื่ออายุ 99 ปี นอนหลับตาย ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของตน หรือนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร อายุ 84 ปี ก็ยังคล่องแคล่ว มีคนเคารพกราบไหว้ หรือนายอานันท์ ปันยารชุน ที่มีชีวิตบั้นปลายที่มีความสุข
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทุกคนต่างมีความฝันถึงผู้นำต้องซื่อสัตย์ มีวิสัยทัศน์ในการบริหาร กล้าหาญที่จะต่อสู้กับการคอร์รัปชัน แต่ในโลกของการเปลี่ยนแปลงวันนี้เราต้องการผู้นำที่มีมากกว่าคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน โดยต้องทันสมัยเข้าใจโลกยุคใหม่ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี กล้าตัดสินใจและกล้าเปลี่ยนแปลง เพราะโลกทั้งโลกจะเปลี่ยนหมด
“ผู้นำต้องรู้ว่าโลกที่เปลี่ยนแปลงจะเป็นโอกาสของประเทศอย่างไร มิเช่นนั้นเราจะไปดักเอาประโยชน์จากเทคโนโลยีไม่ได้ ประเทศและประชาชนจะเสียโอกาส พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายกิโยตินกฎหมาย เพราะกฎหมายที่ใช้ทำมาหากินของเราล้าสมัยทั้งหมด มองคนทำธุรกิจเป็นผู้ร้าย แต่สินค้าออนไลน์จากจีนภาษีไม่ต้องเสีย ไม่ต้องขอใบอนุญาต ต่างจากการทำธุรกิจของคนไทย ที่กว่าจะเริ่มต้นกิจการได้ต้องขอใบอนุญาตกว่า 20 ใบ ผู้นำรัฐบาลต้องเลิกคิดถึงทุนผูกขาด จะปล่อยหัวโตรวยกระจุกจนกระจายต่อไปไม่ได้ ต้องแก้กฎหมายเอื้อให้มีการกระจายความมั่งคั่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้นำจะว่า จะกล้าฝ่าด่านทุนใหญ่ที่ให้เงินมากในการเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าผู้นำไทยเปลี่ยนความคิดไม่ทัน เปลี่ยนแปลงไม่ทัน เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจริงๆ เพราะเราจะอยู่ท้ายสุดของอาเซียน”
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ตนเป็นคนที่มั่งคั่ง ภูมิใจในความรวยมาก เพราะไม่เคยรวยจากเงินภาษีของประเทศ เนื่องจากบริษัทของตนไม่เคยเป็นคู่สัญญากับรัฐ แต่รวยจากการสร้างนวัตกรรม สร้างเทคโนโลยีที่ทำให้มีการจ้างงานกว่า 20,000 อัตรา วันนี้คนบางกลุ่มมีอำนาจทางการเมืองโดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โครงสร้างที่ค้ำยันกลุ่มอภิสิทธิชน คือ ทหาร ทุนผูกขาด ระบบราชการที่ใหญ่โตเทอะทะ และกระบวนการยุติธรรม ประเทศไทยมีทรัพยากรเพียงพอที่จะสร้างรัฐสวัสดิการที่ดีกว่านี้ แต่กลับถูกฉุดรั้งโดยกลุ่มคนที่ต้องการให้เห็นวันนี้ในทุกๆ วันเป็นเมื่อวาน เพื่อให้เขามีฐานอำนาจ กว่า 10 ปีที่ผ่านมาเราเถียงกันอำนาจประเทศเป็นของประชาชน ผู้นำจากการเลือกตั้ง หรือมาจากกลุ่มที่มีอำนาจโดยไม่ได้มาจากประชาชน ตนเชื่อว่าอำนาจเป็นของประชาชน ไมว่าจะไทยเจ๊ก ไทยลาว ไทยใต้ นามสกุลสูงศักดิ์ หรือชาวนา ทุกคนควรมีสิทธิเท่ากัน ต้องได้รับการบริการจากรัฐที่ดีเท่าเทียมกัน ได้รับความยุติธรรมเท่าเทียมกัน แต่ประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 ถูกทำให้ไม่มีความหมาย
นายธนาธรกล่าวอีกว่า อำนาจของรัฐถูกแบ่งเป็น 3 ขา ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เพื่อให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุล โดยรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือเผด็จการ เมื่อมีนโยบายสาธารณะที่อาจตัดสินใจถูกหรือผิดก็ได้ แต่ รธน.60 คณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งแต่งตั้งโดย คสช. ไม่ได้มาจากประชาชน อยู่เหนือรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ชี้เป็นชี้ตายให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้ นี่คือดุลอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน ฝ่ายนิติบัญญัติ ส.ว .250 คนไม่มาจากประชาชน เขากลัวประชาชนจะออกกฎหมายลดอภิสิทธิ์ทางการปกครอง การดำรงอยู่ของส.ว.เพื่อนำคนที่ประชาชนไม่ได้เลือกมาเป็นนายกฯ หากเอาคะแนนป็อปปูลาร์โหวตมาดู จะพบว่า 75% เป็นคะแนนรวมจากพรรคที่ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ พรรคที่สนับสนุนมีคะแนนเพียง 25% เท่านั้น ขณะที่อำนาจตุลการ และองค์กรอิสระก็ได้รับการแต่งตั้งหรือยืดอายุโดย คสช. อำนาจ 3 ฝ่ายถูกควบคุมไว้ทั้งหมด ตนเชื่อมั่นแรงกล้าว่าประชาธิปไตยจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ดีกว่าเผด็จการ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้วจะย้อนกลับมายอมรับอำนาจเผด็จการไม่ได้ เรามาไกลเกินกว่าที่จะย้อนประเทศไทยกลับไปดั้งเดิม ประชาชนทุกคนเป็นประธานของประโยค ไม่ได้เป็นกรรม
“ผมชื่นชมทุกคนที่ออกมาต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ถ้าคนเหล่านั้นไม่พูดถึงกองทัพ สัมปทานช่อง 7 กี่ปี และช่อง 5 หายไปไหน ไม่มีอยู่ในงบประมาณ หรือแม้แต่เงินภาษีที่ใช้จ้างพลทหาร แต่ถูกเอาไปดูแลบ้านนายพล เป็นการคอร์รัปชันหรือไม่ เราพูดถึงแต่นักการเมือง ไม่แตะคนที่ตรวจสอบไม่ได้ การแสดงทรัพย์สิน นายพลใน สนช.รวยเป็นพันล้านบาท เป็นไปได้อย่างไร คนที่ไม่กล้าตรวจสอบคนเหล่านี้ ผมถือว่าเฟกทั้งหมด วันนี้ผมไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่มีอภิสิทธิ์ แต่ถ้าจะเดินหน้าประเทศต่อไปก็ขอเสนอแนวทางไทยแลนด์ 3D ทำให้ประเทศกับมาเป็นประชาธิปไตย, ลดบทบาทกองทัพ และยุติอำนาจรวมศูนย์ในกรุงเทพฯ กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น มีคนบางคนบอกว่าถ้าคุณทำดีจะมีอายุอยู่ถึง 90 หรือ 100 ปี แต่ผมไม่สนใจอายุขัย ไม่สนใจว่าจะจบสวยหรือไม่ ถ้าผมพูดความจริง ยืนหยัดต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะต้องจบชีวิตในคุกในตะรางก็ภูมิใจที่ได้สร้างสังคมที่เท่าเทียมส่งต่อให้ลูกหลาน และภูมิใจที่ชีวิตอาจจะจบไม่สวย แต่ไม่เลียท็อปบูตทหารแน่ๆ”
ทางด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ผู้นำที่ดีต้องพร้อมยอมรับความเห็นของคนอื่น ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองเพื่อขับเคลื่อนประชาชนอย่างสันติวิธี เรื่องแบบนี้คนคนเดียวทำไม่ได้ พรรคการเมืองเดียวก็ทำไม่ได้ เพราะการขับเคลื่อนประเทศมีมิติของความซับซ้อนและละเอียดอ่อนร่วมอยู่ด้วย ขึ้นอยู่กับผู้นำจะยอมรับความเห็นต่างได้อย่างไร บางครั้งผู้นำต้องยอมรับโชคชะตา ไม่ใช่ให้จำยอมกับระบบเผด็จการ หรืออำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เพราะหากผู้นำเชื่อในเรื่องของโชคชะตาแล้วยอมรับจะทำให้ผู้นำคนนั้นยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยไม่ก้าวร้าว