โฆษก อนค.แถลงโวยโดนสื่อเครือเนชั่นทำลายอย่างเป็นระบบ นำข่าวปลอมเผยแพร่โจมตี เตรียมข้อมูลส่งศูนย์ต้านเฟคนิวส์จัดการ พร้อมยื่นฟ้อง 7 กกต.ต่อศาลคดีทุจริต อ้างประพฤติมิชอบเร่งรัดส่งคดี “ธนาธร”ถือหุ้นสื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่อนุ กก.ไต่สวนยังไม่เสร็จ
วันนี้(18 พ.ย.) ที่พรรคอนาคตใหม่ นางสาวพรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวกรณีนักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อว่า ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ห้ามไม่ให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งถือครองหุ้นสื่อ ก็เพราะไม่ต้องการให้นักการเมืองครอบครองสื่อ เพื่อใช้ให้เป็นคุณแก่ตัวเอง และเป็นโทษแก่คนอื่น แต่มีกรณีที่นักการเมืองมีความเกี่ยวพันเป็นเจ้าของสื่อชัดเจน กลับไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ คือ กรณีของนางสาววทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ แม้จะลาออกจากเครือเนชั่นแล้ว แต่มีสามีคือ นายฉาย บุนนาค เป็นผู้บริหารของเนชั่นแทน ขณะที่ ส.ส.หลายสิบคน ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งที่ปัญหาเกิดจากใบบริคนห์สนธิ บางคนแสดงหลักฐานทุกอย่างแล้วว่าโอนหุ้นก่อน แต่ก็ยังมีคดี
นางสาวพรรณิการ์ กล่าวอีกว่า ไม่เพียงเท่านั้น เครือเนชั่น ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทำการอันเป็นคุณแก่พรรคการเมืองบางพรรคและเป็นโทษแก่พรรคการเมืองบางพรรคอย่างเป็นระบบ โดยผ่านเครือข่าย ประกอบด้วย เครือเนชั่นกรุ๊ป และนิวส์เน็ตเวิร์ค มีทั้ง สำนักข่าวเนชั่น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทีนิวส์ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ช่องสปริงนิวส์ NBC นอกจากนี้ยังมีการตั้งสถาบันทิศทางไทย ซึ่งกรรมการผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ประกอบด้วยผู้บริหารเครือเนชั่น และ มีการแลกเปลี่ยน และอ้างอิงข่าวสารกันไปมา
นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่า เนชั่นเสนอข่าวพรรคอนาคตใหม่เฉลี่ยวันละ 9 ข่าว 36 นาที ซึ่งเวลาในทีวีถือเป็นเงินเป็นทอง 36 นาทีย่อมเป็นเงินมหาศาล ช่วงตั้งแต่วันที่ 1-10 พ.ย. พบว่า รายการคมชัดลึกของเนชั่น นำเสนอข่าวพรรคอนาคตใหม่ 44.44% ในเวลาทั้งหมดโดยเฉลี่ย โดยเป็นการเชิญบุคคลมาสัมภาษณ์เพื่อชี้นำความเห็นเชิงลบ อาทิ นายทรงกลด ชื่นชูผล อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีทัศนคติอย่างไร แต่กลับไม่มีการนำคนที่มีทัศนคติต่างมาออกรายการ
ขณะที่รายการคมชัดลึกสุดสัปดาห์ นำเสนอข่าวพรรคอนาคตใหม่ถึง 48.40% ในรูปแบบ บก. 3 คน ร่วมกันวิเคราะห์ข่าว ขณะที่รายการเนชั่นสุดสัปดาห์ นำเสนอข่าว 54.28% ในส่วนของรายการขยี้คดีโกง มีการนำเสนอพรรคอนาคตใหม่ถึง 34% ทั้งที่เราเพิ่งจะตั้งพรรคมาหนึ่งปีกว่าๆ และพบรูปแบบการนำเสนอข่าว ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยการหยิบยกเอาข้อมูลในเพจข่าวปลอมมาแผยแพร่
โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ข่าวปลอมมีอยู่เยอะและเป็นอันตรายต่อสังคม แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยถูกยกมาเป็นข่าวในโทรทัศน์ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่เข้าถึงประชาชนมากที่สุด รัฐบาลตั้งศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ แต่เราก็ไม่เคยเห็นว่า ศูนย์นี้ต่อต้านเฟคนิวส์จริง หรือเพียงแค่ทำลายข่าวที่เป็นโทษของรัฐบาล หลังจากวันนี้ พรรคอนาคตใหม่จะนำข้อมูลจากเพจข่าวปลอมทั้งหมดกว่า 100 หน้า ไปมอบให้ศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ โดยจะมอบให้นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอาโดยตรง และจะรอดูว่าศูนย์นี้จะทำอะไรกับข่าวปลอม เหล่านี้หรือไม่ หรือจะต่อต้านข่าวที่เป็นโทษต่อรัฐบาลเท่านั้น
น.ส.พรรณิการ์ ยังกล่าวถึงคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดียว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ดังนั้นในวันนี้นายธนาธรได้มอบหมายให้ทีมทนายความไปยื่นต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ฟ้องร้องกรรมการการเลือกตั้ง(กกต. )ทั้ง 7 คน โดยพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ฟ้องร้อง พ.ต.อ.จรงุวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ข้อหาที่ฟ้องคือ ประพฤติมิชอบ ไม่ได้ใช้อำนาจในการไต่สวนพยานหลักฐานสืบหาข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ ในคดีการกล่าวหาว่านายธนาธรถือครองหุ้นบริษัทวีลัค-มีเดีย จำกัด ทั้งนี้ กกต.มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง แต่ กกต.กลับไม่รอให้การไต่สวนเรียกพยานเข้ามาให้ปากคำต่อคณะอนุกรรมการฯ กลับรวบรัดและส่งคดีไปยังศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่การไต่สวนของคณะอนุกรรมการฯ จะเสร็จสิ้น เป็นเหตุให้ชวนสงสัยได้ว่ามีการเร่งรัดคดีโดยมีเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เราตัดสินใจฟ้อง กกต. ในข้อหาประพฤติมิชอบเร่งรัดไต่สวนคดี ทำให้เกิดความเสียหายต่อนายธนาธรใน 2 ประการ คือ 1.การถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. และ 2.ความเสียหายต่อชื่อเสียงของนายธนาธรเนื่องจากทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจไปแล้วว่านายธนาธรได้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งที่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย ซึ่งกรอบระยะเวลาการดำเนินคดีก็คงจะยาวนานหลายเดือน แต่เราถือว่าได้ทำดีที่สุดเพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่าเกิดการดำเนินคดีด้วยกระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในคดีความของนายธนาธร