เมืองไทย 360 องศา
ฉับพลันที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ สม รังสี อดีตหัวหน้าพรรคกู้ชาติกัมพูชา(ซีเอ็นอาร์พี) ใช้ประเทศไทยเดินทางเข้ากัมพูชาอย่างเด็ดขาด
ที่ผ่านมา สม รังสี ลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศสมานานกว่า 4 ปี และเป็นแกนนำฝ่ายค้านในกัมพูชาประกาศเดินทางกลับกัมพูชาผ่านประเทศไทย โดยได้ทำหนังสือถึง นายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อขอผ่านแดนไปยังกัมพูชา แต่ได้รับการปฏิเสธดังกล่าว
ทั้งนี้ตามกำหนดการ สม รังสีย้ำว่าจะเดินทางกลับกัมพูชา ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันชาติ และร่วมการประท้วง “ฮุน เซน” นายกรัฐมนตรีที่ปกครองประทศนี้มานานกว่า 30 ปี
อย่างไรก็ดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งประกาศชัดเจนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าไม่อนุญาตตามคำขอของอดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชารายนี้ โดยให้เหตุผล “ตามมติของประเทศในกลุ่มอาเซียน ที่จะไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน”
และก่อนหน้านี้กลุ่มฮิวแมนไรท์วอชในภูมิภาคเอเชียก็อ้างข้อมูลว่า ทางการไทยได้ควบคุมตัวรองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านจากพรรคกู้ชาติกัมพูชาจำนวนสองคน ที่สนามบินสุวรรณภูมิและได้ผลักดันออกไป หลังจากที่พวกเขาพยายามเดินทางเข้าไทยเพื่อสมทบกับ สม รังสี เข้ากัมพูชา
นั่นเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เข้มข้นในกัมพูชา ที่ ฮุน เซน กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้เคลื่อนไหวต่อต้านเขา โดยอ้างว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหาร
ขณะเดียวกันจากท่าทีดังกล่าวย่อมมีผลเชื่อมโยงต่อเนื่องมาถึงการเมืองในไทยในแบบที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบรรดาพวกนักโทษ พวกหลบหนีคดีที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่ามีหลายคนที่กำลังกบดานอยู่ในกัมพูชา ซึ่งมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่จะมีการส่งตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยในอีกไม่นานข้างหน้าก็เป็นได้
แม้ว่าในกรณีของฝ่ายค้านกัมพูชา ที่มีประเทศสมาชิกในอาเซียนดำเนินการไม่ต่างจากไทย เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่ไม่ยอมให้แกนนำจากพรรคฝ่ายค้านของกัมพูชาเคลื่อนไหวหรือเดินทางผ่านประเทศ โดยมีการผลักดันออกไปเช่นเดียวกัน
แต่หากโฟกัสเฉพาะประเทศไทย เชื่อว่าน่าจะได้เห็นสัญญาณบางอย่างตามมาก็เป็นได้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐบาลกัมพูชาที่นำโดย ฮุน เซน กับรัฐบาลไทยที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถือว่าราบรื่นเรื่อยๆมา นับตั้งแต่ในยุคที่เป็นรัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ที่ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก แม้ว่าที่ผ่านมาสำหรับ ฮุน เซน จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับเคยตั้งให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจกิตติมศักดิ์มาแล้ว รวมไปถึงการเกี่ยวดองเป็นญาติเมื่อ ลูกสาวคนหนึ่งของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ไปแต่งงานกับเครือข่ายอำนาจคนสำคัญในรัฐบาลกัมพูชาก็ตาม แต่มาวันนี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ก็ต้องมีการประเมินกันใหม่
ในกรณีของ สม รังสี สำหรับ ฮุน เซน และรัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็น “เรื่องใหญ่” ได้ตลอดเวลา เนื่องจากแกนนำฝ่ายค้านผู้นี้ถือว่าเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่ทรงพลังมากที่สุดมาอย่างยาวนาน ที่เห็นชัดก็คือเมื่อการเลือกตั้งเมื่อราวเกือบห้าปีก่อน ที่พรรคกู้ชาติกัมพูชา เกือบทำให้พรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน เกือบพ่ายแพ้การเลือกตั้ง มีการฟ้องร้องกันว่ามีการโกง จนที่สุดต้องมีการประนีประนอมยอมแบ่งอำนาจกันพักหนึ่ง ก่อนที่จะนำมาสู่การฟ้องยุบพรรค และตั้งข้อหากับ สม รังสี จนต้องลี้ภัยในฝรั่งเศสมานานกว่า 4 ปี
นั่นเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่าสำหรับ สม รังสี ย่อมเป็นภัยต่อความมั่นคงของ ฮุน เซน ได้ตลอดเวลา และถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ตึงเครียดตลอดเวลาสำหรับ ฮุน เซน และสำหรับท่าทีของไทยก็ต้องถือว่ามีความ “สำคัญที่สุด” เนื่องจากไทยมีชายแดนติดกับกัมพูชา หากไทยไม่ให้ความร่วมมือ หรือวางเฉย หรือทำเป็นไม่สนใจปล่อยให้ สม รังสี ใช้เป็นทางผ่านเข้ากัมพูชา โดยอ้างว่า ไม่รู้ไม่เห็น เป็นการหลบเข้าไปทาง “ช่องทางธรรมชาติ” ก็สามารถอ้างได้ แต่การที่มีท่าทีชัดเจนจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า “ห้ามเข้า” มันก็ย่อมทำให้ ฮุน เซน โล่งใจ และอย่างได้แปลกใจที่ เขา กล่าวขอบคุณ บรรดามิตรประเทศอาเซียนเหล่านี้ในเวลาต่อมา
แน่นอนว่านี่คือน้ำใจที่แสดงให้เห็นต่อกัน ทำให้มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าอีกไม่นานอาจมีรายการจับกุมส่งตัวผู้หลบหนีคดีจากประเทศไทยที่ไปกบดานอยู่ในกัมพูชาส่งมาให้ไทยก็เป็นได้ ซึ่งตามรายงานมีการระบุว่ามีหลายคน และตามที่มีรายงานก่อนหน้านี้ เช่น จักรภพ เพ็ญแข วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” โดยสองรายนี้มีคดีที่เกี่ยวกับความผิดตามมาตรา 112 และอีกหลายคดี และในรายของ จักรภพ นั้นแม้ว่าล่าสุดมีรายงานอ้างว่ามีผู้พบเห็นเดินอยู่แถวดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต ก็ตาม และยังมีรายงานอีกว่า มี อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่เพิ่งถูกตัดสินจำคุกในคดีล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา ก็หลบหนีไปกบดานอยู่ที่นั่นด้วย
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากท่าทีและความเคลื่อนไหวล่าสุดระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาที่ส่งสัญญาณกันอย่างที่เห็น ทำให้มีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่อนาคตอันใกล้ที่อาจมีการจับกุมและส่งตัวบรรดาผู้หลบหนีคดีดังกล่าวกลับมาดำเนินคดีในไทยก็เป็นได้ เอาเป็นว่า “หนาว” ก็แล้วกัน !!