หัวหน้า ปชป.มองสังคมหวั่นเชื้อความขัดแย้งยังคุกรุ่นรอวันเกิดขึ้นอีกได้ เตือนต้องระวังมวลชนก่อหวอด หวั่นน้ำผึ้งหยดเดียวซ้ำรอยแดงเดือดเหมือน 8 ปีที่แล้ว
วันนี้ (21 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองว่า ในเดือน พ.ค.มักจะมีเหตุการณ์หลายอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะวันที่ 19 พ.ค. 2553 ที่มีการเผาบริเวณย่านราชประสงค์และจังหวัดอื่นในประเทศ คิดว่าเหตุการณ์นั้นจะเลิกและยังหวั่นใจอยู่ว่าทุกฝ่ายหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นอีกแล้ว เราคงจะพูดถึงแต่การเผาไม่ได้ ต้องยอมรับเรื่องของความสูญเสียต่อชีวิตที่เกิดขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน ถามว่าเราผ่านตรงนั้นมาถึงวันนี้ 8 ปีแล้ว ถ้าว่ามั่นใจหรือไม่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เชื่อว่าหลายคนยังหวั่นใจอยู่ว่าเกิดขึ้นอีกได้ เพราะดูสภาพทางการเมืองแม้จะมีความสงบมาโดยเฉพาะหลังการปฏิวัติ แต่เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างยังไม่เคลื่อนตัวในแง่ของการที่จะเป็นเงื่อนไข หรือเชื้อของความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ความจริงมีเหตุผลที่จะต้องพูดกันอีกเยอะว่า หนึ่งในงานที่คสช.ประกาศไว้ตอนเข้ามาคือจะสามารถทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นความขัดแย้งพวกนี้ไปได้ เราได้มีการมาสรุปบทเรียนทุกอย่างจริงๆ แล้วหรือยัง แม้กระทั่งการกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ตนเห็นก็จะมีทั้งอารมณ์ การแต่งแต้มสีเข้าไปจากหลายฝ่าย
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ต้องเห็นใจผู้สูญเสียหรือครอบครัวของผู้สูญเสียในเหตุการณ์ที่ยังมีความรู้สึกว่าข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ควรจะได้ปรากฏออกมาในแง่ของการสอบสวนหรือความรับผิดชอบยังไม่เดินหน้า ขณะเดียวกันฝ่ายที่พยายามเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมืองยังพูดในแบบเดิมๆ และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมในวันนั้นก็ยังมีอารมณ์รุนแรงมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราวางใจไม่ได้และทำให้ต้องช่วยกันคิดและช่วยกันทำด้วยว่าต่อไปในอนาคตจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อถามว่ามีคนตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์เผาเมืองคนที่รับกรรมกลายเป็นตัวเล็กตัวน้อย แต่คนที่อยู่เบื้องหลังไม่ว่าระดับสั่งการหรือระดับซ้อนอยู่ข้างหลังไม่ต้องรับผิดชอบ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คดีที่เกี่ยวข้องกับผู้อยู่เบื้องหลังหรืออาจจะเป็นผู้สั่งการก็ตามคงครอบคลุมอยู่ในคดีก่อการร้ายที่ขณะนี้มีการฟ้องศาลกันอยู่ เพียงแต่มีคดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เมื่อไม่อยู่ในประเทศ ก็ถูกจำหน่ายออกไป แต่ที่เหลือก็มีการขึ้นศาลอยู่ รายละเอียดในคดีที่บอกว่าเป็นการก่อการร้ายคงจะครอบคลุมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปลุกระดม หรือการอยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนคนที่เข้าไปกระทำคือไปเผาโดยตรงก็มีการพิพากษาไปแล้ว บางกรณีก็ลงโทษจำคุก บางกรณีก็อาจจะมีการยกฟ้องเพราะอาจจะหลักฐานไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นก็จะเขย่งกันอยู่อย่างนี้ คือ คนที่ปฏิบัติการนั้นคดีก็อาจจะจบไปเป็นส่วนใหญ่หรือก้าวหน้าไปมาก แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคดีก็ไปได้ช้า อาจจะเพราะว่ามีจำเลยและพยานจำนวนมาก
ต่อข้อถามว่า ฟังขึ้นหรือไม่ที่คนขึ้นเวทีแล้วบอกว่าพูดไปอย่างนั้นเอง เขาไม่ได้สั่งการ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องไปอ่านแต่ละคำไม่ได้หมายความว่าไปสั่งการ แล้วแต่ว่าจะพิจารณาอย่างไร ต้องถามว่าตอนที่เกิดขึ้นหรือตอนที่พูดคนฟังเข้าใจอย่างไร เช่น ให้ไปศาลากลาง ให้ไปทำอะไร แต่บางคำพูดตนว่ามันชัด ไม่เกี่ยวกับ 19 พ.ค. เช่นการล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา แกนนำพูดบนเวทีว่า “ผมเป็นคนให้เงินคนนั้นคนนี้ไปจัดการ” อันนี้แปลกว่าทำไมคดียังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
เมื่อถามว่า วันนี้ (21 พ.ค.) จะมีการชุมนุมของคนอยากเลือกตั้งจะบานปลายหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่ต้องพิจารณากัน ที่ผ่านมาถ้าเราเอาแค่อารมณ์คนก่อน บอกว่าพึงพอใจในความสงบเรียบร้อยในรอบ 4 ปี คนมองว่ามีกฎหมายพิเศษ และมีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ ที่ผ่านมาแกนนำการชุมนุมส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาก็มักจะใช้มหาวิทยาลัย ตนเข้าใจว่าฝ่ายผู้มีอำนาจเองก็พึงพอใจว่าถ้าอยู่ในมหาวิทยาลัยก็ควบคุมได้ง่าย ทั้งนี้ตนเคยบอกว่าสภาวะที่เราใช้กฎหมายพิเศษไม่สามารถจะทำได้ตลอดไป ตามรัฐธรรมนูญเมื่อมีรัฐบาลใหม่ก็ต้องหมด แม้จะยังไม่หมดไปตามรัฐธรรมนูญ แต่ความยอมรับกับกฎหมายพิเศษก็อาจจะหมดไป การถืออำนาจเบ็ดเสร็จ ผู้มีอำนาจชี้ไปอย่างไรก็ได้ ก็อาจจะใช้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าการใช้อำนาจถูกตั้งคำถามถูกท้าทายเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งก็ต้องดูว่าจะปฏิบัติได้แค่ไหนอย่างไร
เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ว่าเหตุการณ์วันนี้จะบานปลายคล้ายปี 2553 นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะที่หลายคนมองว่าสถานการณ์น่าจะยังควบคุมได้ แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่จะเกิดขึ้นจริง หลายครั้งเหตุการณ์แบบนี้กลายเป็นน้ำผึ่งหยุดเดียว ต้องระวังเป็นพิเศษไม่ให้เกิดอย่างนั้น และเราก็ต้องเรียนรู้จากอดีตด้วย และความจริงคนที่ทำงานอยู่กับตนคือ คสช.ในปัจจุบัน เหตุการณ์ในปี 53 มันยากไม่เหมือนกับเหตุการณ์อื่น เนื่องจากมีกองกำลังติดอาวุธ การปฏิบัติก็จะต่างจากการชุมนุมปราศจากอาวุธ ทำให้เกิดการสูญเสียขึ้นซึ่งเราก็ต้องหาความจริงออกมา แต่เราก็ยังอยู่ในกรอบเดิมๆ อยู่ ไม่เอามาเป็นบทเรียนอย่างแท้จริง