เมืองไทย 360 องศา
ส่งสัญญาณมาพักใหญ่แล้ว สำหรับการให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศโหวตเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยหากจำกันได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ได้เคยกล่าวออกมาให้ได้ยินแล้วสองสามครั้ง โดยย้ำว่า จะผลักดันให้มีการปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่ โดยระบุว่า จะมีการดำเนินการทันทีหลังจากได้รับไฟเขียว “ปลดล็อก” จากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุญาตให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมืองหนทอให้ประชุมพรรคได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะราวเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้
ล่าสุด ก็น่าเป็นจริงเป็นจัง เมื่อ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ว่า กำลังมีการร่างข้อบังคับพรรคใหม่ สาระสำคัญก็คือ จะให้สมาชิกพรรคทั่วประเทศได้โหวตเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ รวมไปถึงจะให้สมาชิกพรรคได้โหวตเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคในแต่ละเขตเลือกตั้งด้วยหรือที่เรียกว่า “ไพรมารีโหวต”
แน่นอนว่า อย่างหลังคือ ไพรมารีโหวต นั้น เป็นไปตามข้อบังคับตามกฎหมายของพรรคการเมืองใหม่ที่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องทำ ด้วยเหตุผลต้องการให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของพรรคร่วมกันแทนที่จะเป็นของนายทุนพรรคที่สุมหัวกันตัดสินใจเพียงไม่กี่คนเหมือนพรรคการเมืองเกือบทั้งหมดในประเทศนี้
แม้ว่า นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ จะทำนายทิ้งท้ายว่าในที่สุดแล้วเชื่อว่า คสช. คงจะแก้ไขยกเว้นให้ พรรคการเมืองไม่ต้องทำไพรมารีโหวต โดยอ้างว่าพรรคการเมืองใหม่ๆ หรือพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปัญหาเรื่องหาสมาชิกจัดการไม่ทัน โดยอาจจะมีการยกเว้นให้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ได้ ก็ว่ากันไป เพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นหรือยังมาไม่ถึง
แต่เรื่องการให้สมาชิกพรรคเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นี่สิน่าสนใจ เพราะหากพิจารณากันแบบผิวเผินมันก็เหมือนกับแนวทางก้าวหน้าที่ล้ำไปอีกขั้น นอกเหนือไปจากที่กฎหมายกำหนด แต่หากมองในมุมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั้งในพรรคและสมาชิกพรรค ซึ่งแน่นอนว่าหากวัดจากความนิยม ชื่อเสียง หรือความเหมาะสมหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ยังมั่นใจว่า เขายัง “เหนือกว่า” หลายคนในพรรคประชาธิปัตย์
แต่ขณะเดียวกัน หากมีการเปิดทางให้สมาชิกพรรคทั่วประเทศได้โหวตเลือกเขาโดยตรงนั่นก็เท่ากับว่า นายอภิสิทธิ์ ก็จะได้ “กระชับอำนาจ” ได้อย่างมั่นคงขึ้น เพราะมั่นใจว่าถึงอย่างไรก็คงยังไม่มีใครมาทาบเขาได้ และที่สำคัญคราวนี้ “นายหัว” ชวน หลีกภัย ก็ยังเป็นแบ็กอัพให้เต็มที่ถึงขนาดประกาศว่า หากใครเสนอชื่อตัวเองลงแข่งขันกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะขอถอนตัวแบบนี้ถึงได้บอกว่ามันแบร์เบอร์กันตั้งแต่ยังไม่ได้โหวตด้วยซ้ำไป
อีกมุมหนึ่งมันก็ยังได้สกัดการรุกคืบเข้ามาของกลุ่ม “กำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่พลพรรค กปปส. เดิมยังปักหลักอยู่กันเกือบครบ จะถูกบีบด้วยกติกาใหม่ไม่ให้ออกตัวล้ำเส้นมากนัก
นอกจากนี้ ยังอาจเป็นโบนัสตามมาอีกหากแผนการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์แนวนี้ประสบผลสำเร็จ ทั้งในเรื่องให้สมาชิกพรรคโหวตเลือกหัวหน้าพรรค และให้มีการหยั่งเสียงเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคในแต่ละเขตเลือกตั้ง (ไพรมารี) ก็จะเป็นการตบหน้าพรรคคู่แข่งอย่างพรรคเพื่อไทย ทุกอย่างยังต้องกำหนดมาจาก ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขาเท่านั้น
แน่นอนว่า อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนแบบเปรียบไปถึงพรรคเพื่อไทยไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะจากปรากฏการณ์ทั้งสองประเด็นดังกล่าวที่กำลังมีการผลักดันกันอยู่ในเวลานี้ เพราะหากพิจารณาจากกระแสความนิยมแบบเปรียบเทียบกับพรรคคู่แข่ง เขาเป็นรองทุกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโพลที่เปรียบเทียบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถือว่ายัง “ห่างหลายช่วงตัว”
ดังนั้น นาทีนี้ทอดตาไปทั่วทั้งพรรคประชาธิปัตย์แล้ว หาก นายชวน หลีกภัย หลีกทางให้แล้ว มองด้วยความเป็นจริง ก็ยังมองไม่เห็นใครว่าจะมาทาบกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เลย และหากการผลักดันให้สมาชิกพรรคทั่วประเทศโหวตให้นั่งหัวหน้าพรรคต่อ อย่างน้อยก็มีผลดีกับตัวเขาสำหรับการกระชับอำนาจเพิ่มบารมีในพรรค และยังกระทบชิ่งไปยังพรรคเพื่อไทยได้อีกว่า คือ พรรคประชาธิปไตย มาจากเสียงโหวตโดยตรง เป็นการสร้างกระแสได้อีกทางหนึ่งพร้อมกันไปด้วย!!