เมืองไทย 360 องศา
สมเป็นนักการเมืองลายคราม สำหรับ “ลุงชวน” นายชวน หลักภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่มองจังหวะจะโคนการเมืองได้ทะลุ ไม่ยอมเคลิ้มไปตามแรงยุให้เลียนแบบ “มหาเธร์โมเดล” รีเทิร์นสนามการเมืองเพื่อลุ้นชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกรอบ เหมือนกับพวกที่มองเห็นการเมืองในประเทศมาเลเซีย ที่ มหาเธร์ โมฮัมหมัด ในวัย 92 ปี สามารถชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นผู้นำอีกรอบ
คิดง่ายๆ ว่า ถ้า “ลุงชวน” จะทำแบบนั้นบ้าง แล้วด้วยบุคลิกติดตัวในเรื่องความซื่อสัตย์ มีคนนิยมชมชอบอยู่ไม่น้อย แล้วก็น่าจะทำให้มีสิทธิ์ลุ้น กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบหลังการเลือกตั้ง
ยังดีที่ นายชวน หลักภัย อ่านเกมได้ขาด ไม่หลงคารมเคลิบเคลิ้มไปกับแรงยุดังกล่าว ซึ่งไม่แน่ว่าจริงใจหรือว่าหวังดีแบบประสงค์ร้ายหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าเขาตัดสินใจเบรกเกมนี้ไปแล้วอย่างทันควันแบบที่ไม่ยืดเยื้อคาราคาซัง พร้อมทั้งประกาศหนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งสำหรับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถือว่า “โล่งอก” แม้ว่าจะรับรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่า “นายหัวชวน” ไม่คิดที่จะหวนกลับมาอีกรอบอยู่แล้ว เพราะหากจำกันได้ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน นายชวน หลีกภัย ก็เคยประกาศชัดแจ้งแล้วว่า ไม่คิดลงแข่งขันกับ นายอภิสิทธิ์ ในการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังจะมาถึงหลังการ “ปลดล็อก” ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเดือนมิถุนายน โดยเขาย้ำว่า หากมีสมาชิกพรรคเสนอชื่อเขาลงแข่งขันก็จะขอถอนตัวและสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคต่อไป
มันก็ชัดเจนมาตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ “มหาเธร์โมเดล” ขึ้นที่มาเลเซีย ก็ทำให้ขั้นตรงข้ามของ ฝ่ายอภิสิทธิ์ ฉวยจังหวะโหมโรงออกแรงยุคิดว่า นายชวน หลีกภัย จะเคลิ้มไปด้วย แต่ก็อย่างที่ว่า สำหรับ ชวน หลีกภัย คนนี้ ที่นาทีนี้ยังถือว่าผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างโชกโชน เป็นอดีต ส.ส. มายาวนานมากที่สุดในเวลานี้ ย่อมอ่านเกมขาด ว่า สมควรที่จะคงสถานะของตัวเองให้เหมาะสมอย่างไร
ขณะเดียวกัน ในทางตรงข้าม หาก นายชวน หลีกภัย ลงสนามชิงเก้าอี้จริงๆ แล้ว มั่นใจแค่ไหนว่าจะสามารถเอาชนะได้ หรือทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส.จำนวนมากแค่ไหน สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทย ได้หรือไม่ เพราะจะว่าไปแล้วหากพิจารณากันตามความเป็นจริง ทั้งสถานการณ์ และบรรยากาศก็เปลี่ยนไปแล้ว ที่สำคัญ อารมณ์ของคนก็เปลี่ยนไปแล้ว
แน่นอนว่า สำหรับ นายชวน หลีกภัย ย่อมมีคนนิยมชมชอบ แต่ก็มีแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น หรือหากจะบอกว่า “ไม่น้อย” ก็อาจจะพูดได้ แต่รับรองว่ามันก็ “ไม่มาก” จนน่าจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะหากย้อนกลับไปในยุคที่พีคที่สุดของ นายชวน ตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา เขาก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 ครั้ง เสียงชมก็มี เสียงนินทาในเรื่อง “เชื่องช้า” ตามระบบราชการแบบนี้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
ดังนั้น หากโฟกัสไปที่ นายชวน หลีกภัย ที่รีบเบรกเกมไม่ยอมหลงลมตามแรงยุดังกล่าว ทางหนึ่งน่าจะเป็นเพราะรับรู้ตามสภาพความเป็นจริงแล้วว่าเป็นแบบไหน ขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นด้วยเช่นกันว่า เขานี่แหละคือ “ขิงแก่” ถึงอย่างไรก็ย่อมเผ็ดวันยังค่ำ เพราะสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เขาย่อมได้รับการเคารพนับถือจากคนทั่วไป แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามจะหวนกลับมาโดยลงสนามชิงชัยอีกครั้ง เมื่อนั้นแหละจะดูไม่จืด ซึ่งสำหรับ นายชวน ยอมอ่านออกได้ไม่ยาก
ขณะเดียวกัน เมื่อมอง นายชวน หลีกภัย แล้ว ก็ต้องต่อเนื่องไปถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แม้ว่าเขาจะกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ที่ นายชวน หลีกภัย ยังยืนยันสนับสนุนตัวเขาต่อไป นั่นเท่ากับว่าในการเลือกเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หนหน้า เขาก็แทบจะไร้คู่แข่ง เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นจะไปได้ไกลแค่ไหน มันคนละเรื่องกัน ต้องพิจารณาแบบแยกส่วนกัน!!