นายกฯปลื้ม ธนาคารโลกประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2561 โตร้อยละ 4.1 สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา เผย การพัฒนานวัตกรรมจะช่วยให้ประเทศมีรายได้สูงตามที่ตั้งเป้า ซึ่งได้บรรจุไว้ในแผนปฏิรูปประเทศและร่างยุทธศาสตร์ชาติเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ (13 เม.ย.) เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้เปิดเผยรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุด โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 นี้ จะเติบโตที่ร้อยละ 4.1 ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา และสอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ธนาคารโลกมองว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของการส่งออกยังเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และการนำเข้าสินค้าทุนที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งสัญญาณว่า การบริโภคในประเทศกำลังฟื้นตัว การปฏิรูปกฎระเบียบที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาโดยตลอด รวมถึงเสถียรภาพของนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวม ต่างก็ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ธนาคารโลกมองว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเพิ่มผลิตภาพ และยังสามารถเติบโตได้เร็วขึ้นอีกในระยะต่อไป หากมีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมอย่างจริงจัง อีกทั้งการปฏิรูปการศึกษาและทักษะการดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพให้เป็นรูปธรรม รวมถึงการเพิ่มการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ จะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นนวัตกรรมและยกระดับประเทศไทยให้ก้าวไปสู่เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ที่สูงขึ้นในระยะยาวได้
นอกจากนี้ ได้เน้นถึงความสำคัญของนวัตกรรมที่ส่งผลต่อผลิตภาพและการเติบโตในระยะยาว โดยดัชนีนวัตกรรมโลกได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 52 จาก 128 ประเทศทั่วโลก เมื่อปี พ.ศ. 2560 และประเทศไทยยังมีโอกาสดึงดูดผู้ประกอบการที่มีคุณภาพสูง และส่งเสริมการลงทุนด้านนวัตกรรมทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ ด้วยการดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรกับนวัตกรรม เช่น อีอีซี เป็นต้น
ในรายงานยังระบุถึงสิ่งที่ไทยต้องเริ่มดำเนินการ ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งได้แก่ การสร้างความเข้มแข็งด้านนโยบายการแข่งขัน การเปิดเสรีภาคบริการ การสร้างยุทธศาสตร์ข้อมูลของประเทศ และการปรับปรุงสิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญา ไปพร้อมๆ กับการปฏิรูปทักษะของประชาชนและแรงงาน
นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนาให้ก้าวทันทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ก็มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ตามที่เราตั้งเป้าไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย ประเด็นข้อเสนอแนะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปประเทศและร่างยุทธศาสตร์ชาติเรียบร้อยแล้ว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาประเด็นสำคัญในแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องเร่งหยิบยกขึ้นมาดำเนินการโดยด่วนและหารือในส่วนที่มีความสอดคล้องแล้ว บางอย่างอาจจะทำไม่ได้ หรือยังทำไม่ได้ในเวลานี้ รัฐบาลก็จำเป็นต้องไปศึกษารายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จะได้นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งตนจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน เราก็อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ชาติให้มีความสมบูรณ์
ที่ผ่านมา ทางคณะจัดทำได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนไปแล้ว และอยู่ระหว่างการปรับ ซึ่งหลังจากนี้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะช่วยกันพิจารณาเพิ่มเติม โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเป็นเข็มทิศชี้ทางให้กับแผนพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ของไทย ยังมีวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันครอบครัว อีกด้วย ตนขอให้ทุกคนให้ความสำคัญ โดยขอให้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข สวัสดี มีสวัสดิภาพในการเดินทางไปและกลับจากภูมิลำเนาของตน สืบสาน รักษา ต่อยอด วัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นไทยของเรา ให้อยู่ในกรอบ ในจารีต ตามครรลองที่เหมาะสมและงดงาม ดูแลลูกหลานในการเล่นน้ำสงกรานต์ และการลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำด้วย ให้อยู่ในสายตา ให้รู้จักการดูแลตนเอง ดูแลซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยรอยยิ้มและมิตรไมตรี ซึ่งเป็นไทยนิยมอยู่แล้ว ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุขและปลอดภัยในช่วงเทศกาลแห่งความสุขของเรา
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [13 เมษายน 2561]
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีภารกิจในการลงพื้นที่และมีการประชุม ที่ต่างประเทศที่สำคัญๆ หลายโอกาส ก็อยากจะหยิบยกบางประเด็นมาเป็นข้อคิด ผมเห็นว่าสังคมของเรานั้น ควรจะได้ตระหนัก รับรู้ และร่วมมือกัน ทั้งนี้ ในการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนนั้น ผมต้องการได้เห็นกับตาตัวเอง ได้สนทนาปัญหากับพี่น้องประชาชน และแลกเปลี่ยนแนวความคิดกับผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ด้วยตนเอง เราต้องการรับฟังข้อปัญหาเพื่อจะนำมาแก้ไข หากมีคำนิยมใดๆ ก็ถือเป็นกำลังใจ ให้กับคณะรัฐมนตรี และข้าราชการทุกคน อันเป็นผลมาจากการทุ่มเทในการทำงานที่ผ่านมา
สิ่งที่อยากจะสะท้อนจากงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ จังหวัดปัตตานีนั้น ผมเห็นว่ามีความสำคัญมาก เพราะมีลูกเสือ เนตรนารี กว่า 3,500 คนจากทั่วประเทศ แล้วก็มีลูกเสือจากต่างประเทศ อีกกว่า 400 คน มีลูกเสือชาวบ้าน ซึ่งมีเฉพาะในประเทศไทย ก็เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ที่ว่าสำคัญ เพราะทั่วโลกกว่า 160 ประเทศก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ไม่มีการแบ่งแยก หรือกีดกันในเรื่องเชื้อชาติ ผิวพรรณ วรรณะ ลัทธิทางศาสนาใดๆ อีกทั้งไม่อยู่ภายใต้อิทธิพล หรือเกี่ยวข้องกับการเมือง สำหรับประเทศไทยนั้น การเป็นลูกเสือ ลูกเสือชาวบ้าน จะช่วยปลูกฝังความเป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์ เสียสละอดทน และมีจิตอาสา ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีกฎเกณฑ์และยินดีช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ โดยทุกคนจะยึดถือ คำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ เป็นหลักในการปฏิบัติตนในสังคม ซึ่งก็เป็นพื้นฐานการเป็นพลเมืองดีของประเทศอีกด้วย ส่วนคติพจน์ที่ว่า จงเตรียมพร้อม (BE PREPARED) นั้น ก็สอนให้เรามองไกล มองไปข้างหน้า อย่างมีวิสัยทัศน์ รู้จักเตรียมการวางแผนล่วงหน้า ทำงานอย่างมีแบบแผน หรือที่เรียกว่ามียุทธศาสตร์ สอดคล้องกับที่รัฐบาลนี้ พยายามจะทำให้เป็นจริงเป็นจังให้ได้ในสังคมของเรานั่นเอง
สำหรับการเดินทางไปแสดงปาฐกถาพิเศษ ภายใต้หัวข้อ บทบาทสถาน ศึกษากับการขับเคลื่อน Thailand 4.0 นั้น ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนะครับ ก็เป็นสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติ เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย อยู่คู่สังคมไทยมายาวนานกว่า 101 ปี นั้น ผมได้มีโอกาสเยี่ยมชมผลงาน วิจัยและนวัตกรรมของนิสิตจำนวนมาก ตามที่มีรายงานข่าวไปแล้ว แต่วันนี้ ผมอยากจะกล่าวถึง เทเลเมดิซีน (Telemedicine) ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับสังคมของเราในอนาคต รวมถึงการก้าวไปสู่ สังคมผู้สูงวัย สอดคล้องกับการเตรียมการเพื่อวันข้างหน้าที่รัฐบาลนี้กำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง อาทิ
1. การให้ความสำคัญกับแพทย์ปฐมภูมิ ตั้งแต่ระดับชุมชน-หมู่บ้าน
2. การวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ เน็ตประชารัฐ เกือบ 40,000 หมู่บ้าน
3. การเชื่อมโยงข้อมูล BIG DATA ภาครัฐนะครับ ซึ่งก็หมายรวมถึง การเชื่อมโยงข้อมูลหมอ จากสถาบัน การศึกษา โรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ เป็นต้น
ทั้ง 3 เรื่องนี้ หากมีเทเลเมดิซีนเข้ามาเสริม ก็จะช่วยให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข ด้วย มือถือ อินเทอร์เน็ต ที่บ้านได้เลย จะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง จากค่าตรวจ ประหยัดเวลาทั้งผู้ป่วยที่ต้องติดตามอาการจากแพทย์ และแพทย์เองก็สามารถรับผู้ป่วยต่อวันได้เพิ่มมากขึ้น ส่วนผลตรวจร่างกายเบื้องต้น เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง ความดัน ปัสสาวะ และเลือด ก็ได้จากคลินิก สุขาภิบาล อนามัยใกล้บ้าน ซึ่งมีแทบทุกชุมชน ไม่ต้องไปรอคิวตั้งแต่เช้าที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ ในเมือง
นอกจากนี้ หากยังจำกันได้ ผมเคยกล่าวถึงหุ่นยนต์ดินสอที่คนไทยสร้าง เป็นนวัตกรรมเพื่อดูแลผู้สูงอายุ ได้ส่งออกไปญี่ปุ่นมานานแล้ว ซึ่งผมคิดว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพระบบเทเลเมดิซีน ที่กล่าวมาได้อีกมาก เพราะหุ่นยนต์นี้สามารถโต้ตอบ รับคำสั่ง แจ้งเตือน และเพิ่มเติมขีดความสามารถอื่นๆ ได้ภายหลัง แล้วแต่เราจะพัฒนาต่อยอดไปอย่างไร อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้ย้ำกับนิสิตจุฬาฯ ในวันนั้น และขอกล่าวกับทุกๆ คนในคืนนี้ ก็คือพระราชดำรัสของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ว่า ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ซึ่งมีความหมายชัดเจน ตรงตัวว่า เราควรคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ก่อนประโยชน์ส่วนตน ในทุกๆ เรื่อง เพราะสังคม หรือบ้านเมือง ก็เป็นที่ๆ เราอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก หากต่างคนก็เรียกร้องในสิ่งที่ตนพึงพอใจ โดยไม่สนใจส่วนรวม แล้วความสุขจะอยู่ที่ตรงไหน การเดินหน้าประเทศ การลงทุนโครงการต่างๆ บางโครงการที่ติดขัด ก็ด้วยเหตุนี้ เราต้องหาจุดสมดุลร่วมกันให้ได้ เพื่อจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวม บางครั้งเราก็ต้องยอมเสียบางส่วน เพื่อให้ได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในวันข้างหน้า
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ ในอีก 20 ปีข้างหน้า เราคงอยากจะเห็นประเทศไทยของเราเป็นอย่างไร จะดีขึ้น จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น กับประเทศต่างๆ ได้อีกหรือไม่ ประชาชนยังคงใช้วิถีเดิมในการประกอบอาชีพ ทำเกษตรกรรม หรือทำอย่างไรที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลยุค 4.0 เพื่อจะช่วยในการขับเคลื่อนอนาคตประเทศของเรา พวกเราต้องลงมือร่วมทำไปด้วยกัน เราจะหวังพึ่งพิงแต่เพียงนวัตกรรม เทคโนโลยี หรือสิ่งประดิษฐ์นำเข้า โดยไม่ทำอะไรเลย เราคงไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่เราตั้งไว้อย่างแน่นอน สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาจจะพูดง่ายๆ 4 ประการคือ
1. วิทย์แก้จน คือการสร้างอาชีพคนรุ่นใหม่ และชุมชน สร้างมูลค่าเพิ่มในผลผลิต และเพิ่มศักยภาพกลุ่มเกษตรกร ซึ่งนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน อาทิ ผลิตภัณฑ์จากสารสกัดสำคัญจากข้าว ผัก และผลไม้ เช่น น้ำนมข้าวที่มีสรรพคุณป้องกันเหน็บชา ชำระล้างลำไส้ มีคาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 บี 2 และอีกมากมาย ซึ่งเป็นทางเลิือกสำหรับผู้ที่แพ้นมจากพืชตระกูลถั่ว หรือนมวัวได้ สามารถจะนำไปผลิตเป็นสินค้าระดับอุตสาหกรรม เป็นผลงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง
ทั้งนี้ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวนั้น ยังมีตัวอย่างอีกมากมาย ทั้งน้ำมันรำข้าว อาหารเสริม ล้วนก็เริ่มจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนไทยที่มีข้าวเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต หากเราต่อยอดนำมาผลิตสิ่งดีๆ ให้ผู้บริโภคจะช่วยให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นต่อไป และเมื่อมีการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมสถาบันเกษตร และนวัตกรรมขึ้นมา จะทำให้การบริหารจัดการตั้งแต่วัตถุดิบทางการเกษตร ต้นทาง การแปรรูปกลางทาง การผลักดันและส่งเสริมการตลาดปลายทางให้กับสินค้าต่างๆ จะสะดวกมากขึ้น ขับเคลื่อนอุปสงส์และอุปทานให้เหมาะสม จะสามารถช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของชาวนา และเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทยต่อไปด้วย
2. วิทย์สร้างคนคือ การพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยกลไกประชารัฐ ร่วมกับสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนช่วยหนุนเศรษฐกิจให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ และการพัฒนากลุ่มคนทุกช่วงวัย อาทิ โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรมที่ทั่วโลกรู้จักกันในนาม FabLab ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางวิศวกรรมให้เด็กได้ฝึกทำการทดลอง และลงมือสร้างชิ้นงานจากความคิดตามจินตนาการของเขา ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และความภาคภูมิใจ
ทั้งนี้ ภายในปี พ.ศ.2565 ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนนักวิจัยเป็น 2 เท่าของที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ ต้องเพิ่มอย่างน้อย 20,000 คนต่อปี เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่ประเทศไทย 4.0 ที่ผ่านมาเราพบว่า ตลาดแรงงานของไทยยังขาดแคลนวิศวกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวิศวกรวิจัย ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างภาควิจัยกับภาคอุตสาหกรรม เช่น วิศวกรออกแบบที่เป็นผู้สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และวิศวกรปฏิบัติ หรือนวัตกร ที่สามารถนำความรู้เชิงช่างกับทฤษฎีมาผสมผสาน สร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมที่มีมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ ในการผลิตบุคลากรให้ได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพนั้น เราเคยนำแนวคิดการเรียนรู้แบบ STEM มาใช้แต่อาจไม่พอแล้วนในปัจจุบัน เราต้องเติมเต็มด้วยการสร้างจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ หรือทักษะทางศิลปะคือ อาร์ต เรียกใหม่ว่า STEAM อีกทั้งต้องให้ความสำคัญกับการฝึกลงมือปฏิบัติ การมีโอกาสใช้เป็นเครื่องมือในการบ่มเพาะเด็กตั้งแต่ระดับประถม จนถึงมัธยม และมหาวิทยาลัย แต่ปัญหาที่พบคือโรงเรียนส่วนใหญ่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีหลักสูตรทวิภาคีในการขอความร่วมมือกับสถานประกอบการ ให้นักเรียนอาชีวะได้เรียนทฤษฎีในสถานศึกษาแล้ว ได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการด้วย
ปัจจุบันกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้วางแผนดำเนินโครงการสร้าง FabLab ต้นแบบที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และพัฒนากิจกรรมสำหรับนักเรียนและครูให้ได้เข้ามาเรียนรู้ ฝึกทักษะวิศวกรรม รวมทั้งจัดให้มีแฟ้บแล็บในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ และวิทยาลัยอาชีวะที่มีความพร้อม รวม 150 แห่ง พร้อมทั้งสนับสนุนให้นักเรียนส่งผลงานประกวดแข่งขันในเวทีต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะมีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 15,000 คน และครู 1,000 คน จะช่วยเพิ่มจำนวนวิศวกรและ นวัตกรให้กับประเทศได้ในอนาคตตามที่ตั้งเป้าไว้
3. วิทย์เสริมแกร่งด้วยผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปเพิ่มประสิทธิภาพ และใช้ประโยชน์ได้จริงเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและสร้างมาตรฐานที่สากลยอมรับ อันที่จริงนั้นประเทศไทยเราก็มีหน่วย งานที่เกี่ยวกับมาตรวิทยา การกำหนดมาตรฐาน และการรับรองระบบต่างๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ไม่สอดคล้อง ไม่บูรณาการกัน และขาดความเป็นเอกภาพในทางนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนให้เป็น NQI เหมือนประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ เขามี และเขาจัดให้เป็นระบบ ทำให้เราเสียโอกาสในอดีต และหากไม่ได้ดำเนินการ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของเราก็จะสูญเสียโอกาสในการแข่งขันต่อไป เพราะแต่ละชาติอาจจะมองว่า เราไม่ได้มาตรฐานโลก โดย 80% ของการค้าโลกอยู่ภายใต้มาตรฐาน และกฎระเบียบดังกล่าว ดังนั้นเราต้องเพิ่มพัฒนา และส่งเสริมความเป็นมาตรฐาน และกระบวนการ NQIไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น การกำหนดกฎระเบียบ การบังคับใช้กฎหมาย การคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น
ซึ่งวันนี้รัฐบาลนี้ก็ได้เริ่มต้นให้แล้ว และจะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปอุตสาหกรรมของประเทศในอนาคตอีกด้วย
4. วิทย์สู่ภูมิภาค จะเป็นการกระจายองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสู่ระดับภูมิภาคเพื่อให้เกิดการแข่งขันและการกระจายรายได้เพิ่มมากขึ้น
อาทิ หมู่บ้านวิทย์ซึ่งเป็นแนวคิดศาสตร์พระราชา เพื่อนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปพัฒนาหมู่บ้าน ในการยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ให้กับประชาชนทั่วประเทศ เช่น
1. การพัฒนาหมู่บ้านท่องเที่ยววิถีวิทย์ โดยนำระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาและยกระดับสินค้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจท้องถิ่น การบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและได้มาตรฐาน
2.การพัฒนาภูมิปัญญาผ้าทอพื้นเมืองโดยการเพิ่มคุณสมบัติเป็นนวัตกรรม ที่มีรูปแบบที่ทันสมัย เป็นสากล แต่คงไว้ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่น และสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่น ให้เกิดไทยนิยมอย่างยั่งยืน
3. การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เกษตรครบวงจร โดยเน้นการผลิตให้ได้คุณภาพ เพื่อลดต้นทุน ครอบคลุมเกษตรพืชผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ ประมง และ
4.การพัฒนาหมู่บ้านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยบรูณาการหน่วยงานต่างๆ ให้เกิดการอนุรักษ์ สร้างความตระหนักด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
โดยตั้งเป้าหมายปี 2561 นี้ ในการสร้างหมู่บ้านแม่ข่าย 89 หมู่บ้าน ขยายผลใน 40 หมู่บ้านต่อปี พัฒนาผลิตภัณฑ์ มากกว่า 200 ผลิตภัณฑ์ ผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี มากกว่า 5,000 คนต่อปี สร้างนักวิทย์ชุมชน 12,000 คน เป็นต้น
พี่น้องประชาชนที่รัก สำหรับการเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 ของ MRC นั้น เป็นความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่ประเทศสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ซึ่งได้ร่วมลงนามความตกลงไว้ในปี พ.ศ. 2538 ภายใต้ความร่วมมือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแม่น้ำนานาชาติร่วมกันอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรม
นอกจากประเทศสมาชิกทั้ง 4 ประเทศแล้ว ยังมีประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน และเมียนมา รวมถึงผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ด้วย มีประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำโขงให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความขัดแย้งและให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. เสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง 6 ประเทศดังกล่าว ซึ่งอยู่ในลุ่มน้ำโขงตอนบนและตอนล่าง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
และ 3.หารือในประเด็นข้ามพรมแดนระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งนี้ ทุกประเทศถือเป็นประเทศเกษตรกรรมทั้งสิ้น และน้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญของการเพาะปลูก ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของภูมิภาคด้วย
นอกจากนี้ การได้พบกันของประเทศในลุ่มน้ำโขงนี้ ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้ ข้อมูลสารสนเทศ รวมถึงหารือเกี่ยวกับการวางแผนพัฒนาลุ่มน้ำ และการตรวจติดตามด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขง ร่วมกับลุ่มน้ำนานาชาติอื่นๆ อีกด้วย
ในการประชุมนี้ ผมได้ผลักดันความร่วมมือในการพัฒนาภูมิภาคแม่น้ำโขงให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำแห่งความมั่งคั่ง เชื่อมโยง และยั่งยืน รวมถึงได้ชี้ให้ประเทศสมาชิกได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนุภูมิภาค และเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติจากภาวะน้ำแล้ง น้ำท่วม และคุณภาพน้ำ
นอกจากนี้ ผมได้แจ้งที่ประชุมว่าไทยสนับสนุนการพัฒนาโครงการความร่วมมือข้ามพรมแดนที่มีนัยสำคัญต่อการบริหารจัดการลุ่มน้ำ โดยอาจเสริมสร้างบทบาทของ MRC ให้เป็นศูนย์กลางความรู้ด้านทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และนำองค์ความรู้ทางเทคนิควิชาการมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำ
อีกทั้งให้ประเทศสมาชิก หน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาและประชาชน สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลและองค์ความรู้ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ผมได้เสนอให้ที่ประชุมคิดถึงแนวทางการใช้ทรัพยากรน้ำ ที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมโยง ผูกพันกัน ด้วยการแบ่งปันกัน การใช้ประโยชน์ร่วมกัน แล้วยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่มิติอื่นๆ ซึ่งก็จะเป็นผลประโยชน์ร่วมกันต่อไป อาทิ การเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำของประเทศสมาชิก เพื่อตอบสนองการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และรักษาสิ่งแวดล้อม ตามเงื่อนไขการพัฒนาของแต่ละประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความพยายามดำเนินการร่วมกัน การร่วมรับผิดชอบ และความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดของประเทศสมาชิก
พี่น้องประชาชนที่รักครับ เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้เปิดเผยรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุด โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2561 นี้ จะเติบโตที่ร้อยละ 4.1 ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา และสอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วย
ทั้งนี้ ธนาคารโลกมองว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของการส่งออกยังเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และการนำเข้าสินค้าทุนที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งสัญญาณว่าการบริโภคในประเทศกำลังฟื้นตัว การปฏิรูปกฎระเบียบที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาโดยตลอด รวมถึงเสถียรภาพของนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวม ต่างก็ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคารโลกมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเพิ่มผลิตภาพ และยังสามารถเติบโตได้เร็วขึ้นอีกในระยะต่อไป หากมีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมอย่างจริงจัง อีกทั้งการปฏิรูปการศึกษาและทักษะการดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพให้เป็นรูปธรรม รวมถึงการเพิ่มการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ จะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นนวัตกรรมและยกระดับประเทศไทยให้ก้าวไปสู่เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ที่สูงขึ้นในระยะยาวได้
นอกจากนี้ ได้เน้นถึงความสำคัญของนวัตกรรมที่ส่งผลต่อผลิตภาพและการเติบโตในระยะยาว โดยดัชนีนวัตกรรมโลกได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 52 จาก 128 ประเทศทั่วโลก เมื่อปี พ.ศ. 2560 และประเทศไทยยังมีโอกาสดึงดูดผู้ประกอบการที่มีคุณภาพสูง และส่งเสริมการลงทุนด้านนวัตกรรมทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ ด้วยการดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรกับนวัตกรรม เช่น อีอีซี เป็นต้น
ในรายงานยังระบุถึงสิ่งที่ไทยต้องเริ่มดำเนินการ ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งได้แก่ การสร้างความเข้มแข็งด้านนโยบายการแข่งขัน การเปิดเสรีภาคบริการ การสร้างยุทธศาสตร์ข้อมูลของประเทศ และการปรับปรุงสิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญา ไปพร้อมๆ กับการปฏิรูปทักษะของประชาชนและแรงงาน
นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนาให้ก้าวทันทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ก็มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ตามที่เราตั้งเป้าไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย ประเด็นข้อเสนอแนะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปประเทศและร่างยุทธศาสตร์ชาติเรียบร้อยแล้ว
ที่ผ่านมา ผมได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาประเด็นสำคัญในแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องเร่งหยิบยกขึ้นมาดำเนินการโดยด่วนและหารือในส่วนที่มีความสอดคล้องแล้ว บางอย่างอาจจะทำไม่ได้ หรือยังทำไม่ได้ในเวลานี้ รัฐบาลก็จำเป็นต้องไปศึกษารายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จะได้นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งผมจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน เราก็อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ชาติให้มีความสมบูรณ์
ที่ผ่านมา ทางคณะจัดทำได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนไปแล้ว และอยู่ระหว่างการปรับ ซึ่งหลังจากนี้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะช่วยกันพิจารณาเพิ่มเติม โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเป็นเข็มทิศชี้ทางให้กับแผนพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย
สุดท้ายนี้ ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ของไทย ยังมีวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันครอบครัว อีกด้วย ผมขอให้ทุกคนให้ความสำคัญ โดยขอให้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข สวัสดี มีสวัสดิภาพในการเดินทางไปและกลับจากภูมิลำเนาของตน สืบสาน รักษา ต่อยอด วัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นไทยของเรา ให้อยู่ในกรอบ ในจารีต ตามครรลองที่เหมาะสมและงดงาม ดูแลลูกหลานในการเล่นน้ำสงกรานต์ และการลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำด้วย ให้อยู่ในสายตา ให้รู้จักการดูแลตนเอง ดูแลซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยรอยยิ้มและมิตรไมตรี ซึ่งเป็นไทยนิยมอยู่แล้ว
ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุขและปลอดภัยในช่วงเทศกาลแห่งความสุขของเรา สวัสดีครับ