ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เติมฟืนเข้ากองไฟ!? “ค่ายกาวิละ” นัดพร้อมทุกฝ่ายหาทางออก “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ที่ฝ่ายศาลยืนกรานเดินหน้าต่อ ส่วนภาค ปชช. ยื่นคำขาด “รื้อเท่านั้น” อีกฟากที่ กทม. “บอร์ดศาลยุติธรรม” ประชุมคู่ขนานเวลาเดียวกัน ก่อนชงความเห็นให้ “นายกฯ ตู่” หวั่นมีความเห็นคนละทาง ลากรัฐบาลร่วมเป็น “จำเลยสังคม”
ยังไม่รู้ออกหน้าไหน .. วงพูดคุยเพื่อสางปัญหา โครงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการ เชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ หรือ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ที่ค่ายกาวิละ มณฑลทหารบกที่ 33 ใน วันนี้ (9 เม.ย.) .. ตามบัญชาของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ได้สั่งระงับการก่อสร้างโครงการ และสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ศาล ป่าไม้ ธนารักษ์ ราชพัสดุ ทหาร ตำรวจ ไปรับฟังปัญหาจากภาคประชาชน และร่วมหารือแนวทางที่ดีที่สุด .. ที่น่าเป็นห่วง ก็ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่ กทม. คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ก็จะมีการประชุม และเห็นว่าจะเสนอเรื่อง “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ที่กำลังทำให้ “ผู้พิพากษา” กลายเป็น “จำเลยสังคม” เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม เพื่อออกเป็นความเห็น ก่อนนำเสนอนายกฯ ต่อไปด้วยเช่นกัน ..
ที่ว่าน่าเป็นห่วง ก็ด้วยหากมีข้อสรุปจากเวทีคู่ขนานของ ทาง “บอร์ดศาลยุติธรรม” ออกมาในทางใดทางหนึ่ง .. ตามจุดยืนของ “ศาลส่วนกลาง” ที่อ้างมาตลอดว่า “ถูกกฎหมาย-ขออนุญาตใช้พื้นที่ถูกต้อง” อีกทั้งยืนยันว่าไม่ได้เป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า ทั้งที่ภาพถ่ายแทบทุกมุมก็ฟ้องอยู่ว่า “ป่าแหว่ง” ไปขนาดไหน .. หากออกรูปให้ดำเนินการต่อจนเสร็จสมบูรณ์ซึ่งไม่ตรงกับข้อแนะนำของ “รองฯ ประวิตร” ที่ให้ยุติการสร้าง และไม่มีทางที่จะตรงกับข้อเรียกร้องของภาคประชาชนที่ว่า “รื้อลูกเดียว” ..ก็จะทำให้เวทีพูดคุยที่ค่ายกาลวิละ ไร้ความหมายไปในทันที อีกทั้งการเสนอความเห็นไปยัง “นายกฯ ตู่” ก็จะเท่ากับพยายามลาก “รัฐบาล คสช.” เข้ามามีเอี่ยวในความรับผิดชอบเป็น “จำเลยสังคม” ไปด้วย .. ยิ่งกระแสขุดคุ้ยในโซเชียลฯ ตอนนี้ก็พยายามย้อนรอยว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับการริเริ่ม “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เริ่มจากที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 5 ขอใช้พื้นที่เมื่อปี 2547 ก่อนที่กรมธนารักษ์จะอนุญาตช่วงปี 2549 .. กระทั่งปี 2556 สำนักงานศาลฯ ได้รับงบประมาณ เริ่มเปิดพื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง .. ผ่านมาหลายรัฐบาล แล้วก็ยังผ่านกองทัพบกในฐานะผู้ดูแลพื้นที่หลายยุคเช่นกัน จึงมีกระแสเชื่อมโยงมาถึง “คีย์แมน คสช.” ที่มีส่วนร่วมในการปล่อยให้ใช้พื้นที่ดังกล่าวด้วย .. แบบนี้คงต้องรีบตัดจบ ก่อนที่กระแสจะลามมาถึงกองทัพ และ คสช..
** ลอกคราบจรกา! “สุเทพ” กลัวตกรถ ขอตั้งพรรคการเมือง ยก “วาระปฏิรูป” มาเร่ขายอีกรอบ ทั้งที่ 4 ปีผ่าน ปฏิรูปไม่คืบไม่เห็นเคยโวย นโยบายที่แท้แค่ขอเป็นนั่งร้านให้ คสช. ต่อท่ออำนาจเท่านั้น แบบนี้ฐานเสียงปักษ์ใต้ยังหวังยาก เลยมาหาเสียงกับพันธมิตรฯ ตามที่ “อดีตคน พธม.” วางเกมให้
ไม่เหนือความคาดหมาย .. เมื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. เกิดอาการ “อัลไซเมอร์” รับประทาน ปราศรัยถึงเหตุ-ความจำเป็นในการดูแลงานการเมืองให้กับประเทศไทย .. แม้พูดไม่เต็มปาก แต่ก็ตีความได้ไม่ยากว่า นั่นคือการประกาศตั้งพรรคการเมืองนั่นเอง .. สอดรับกับที่ก่อนหน้านี้ “กำนันเล็ก” ธานี เทือกสุบรรณ น้องชายของสุเทพ ประกาศจะจดแจ้งตั้ง “พรรคมวลมหาประชาชน”..ลืมสิ้นคำประกาศหนักแน่น เมื่อครั้งถอดผ้าเหลืองใหม่ๆ เป็น“ทิดสุเทพ” ว่าจะไม่ยุ่งการเมือง .. อีกทั้งในคำปราศรัยเนื่องในโอกาสทอดผ้าป่าฯ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ ที่เกาะสมุย เมื่อวันก่อน ยังมีหลายช่วงหลายตอน ที่ล้วนแล้วแต่เข้าทำนอง “พูดไม่อายปาก” ..ทั้งคำอ้างว่า ให้จับตาดู “นวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเมือง” หากแต่อาการ “กลืนน้ำลาย” ของ “กำนันเทือก” ก็เป็นเสมือนการตอกย้ำภาพ “นักการเมืองสีเทา” ที่คุ้นชินกันในอดีต .. หรือการนำคำสวยหรูว่าพรรคใหม่จะผลักดัน “วาระปฏิรูป” สืบสานปณิธาน-อุดมการณ์ กปปส.ต่อไป พูดแค่นี้ก็เห็น “ลิ้นไก่” แถมเป็น “ลิ้นสองแฉก” เสียด้วย ..
ก็ 4 ปีที่ผ่านมา “สุเทพ” ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับการปฏิรูปประเทศ ไม่ว่าจะกี่ด้านๆ ที่ไม่คืบหน้าเป็นรูปธรรม แต่“ลุงกำนัน” ของมวลมหาประชาชน กลับรับได้ทุกอย่าง ไร้ข้อท้วงติง .. หรือกระทั่งเรื่องปากท้องชาวปักษ์ใต้ ประเภท “ยาง 5 โล 100” ก็ไม่เห็น “เทพเทือก”จะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร เช่นกัน .. เมื่อจะหันหางเสือกลับเข้าสู่การเมือง ก็งัด “วาระปฏิรูป” มาเร่ขายอีกครั้ง แต่ก็มีคนพูดไล่หลังว่า งาช้างไม่งอกจากปากสุนัขฉันใด การปฏิรูปประเทศก็ไม่ทางเกิดจาก “สุเทพ” ฉันนั้น .. จังหวะก้าวจึงไม่ใช่ “ความหวังดี” ต่อประเทศ หากแต่ “หวังผล” บางประการ อย่างที่คอยอวยชัยให้พร สนับสนุน “รัฐบาล คสช.” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สุดลิ่มทิ่มประตู นั่นปะไร .. แถมออกตัวตั้งแต่ไก่โห่ ว่าจะเป็นนั่งร้านให้ คสช. พร้อมสนับสนุนให้ “นายกฯ ตู่” กลับมาเบิ้ลนายกฯอีกรอบ หาใช่มีนโยบายสวยหรูอะไรหรอก .. ดูทรงแล้ว “พรรคลุงกำนัน” น่าจะไปยากพอตัว ด้วย “ขุนพล กปปส.”ต่างเลือกปักหลักอยู่ที่ “พรรคประชาธิปัตย์”ทั้งหมด มีเพียงระดับ อดีต ส.ส.แค่ 2 น้องชายตระกูลเทือกสุบรรณ มาร่วมหัวจมท้ายด้วยเท่านั้น .. หากถึงวันเลือกตั้ง อาจจะพอตอนแต้ม “พรรคสะตอ”ในพื้นที่ภาคใต้ได้บ้างเล็กน้อย จึงเป็นเหตุให้เริ่มออกลูกพล่าน หาพวก .. ทำให้ “สุเทพ” ต้องบากหน้ามาจัดรายการ “อวยรายวัน” พุ่งเป้ามาที่บรรดาแกนนำพันธมิตรฯ ที่ต้องคดีบุกสนามบินฯ ที่ตัวเองเป็นตัวการยัดคดีให้ในอดีต .. ด้วยหวังดึง “พ่อยก-แม่ยกพันธมิตรฯ” ให้มาเป็นฐานเสียง “พรรคมวลมหาประชาชน” ตามเกมที่อดีตคนพันธมิตรฯ อย่าง “สุริยะใส กตะศิลา-สำราญ รอดเพชร” วางไว้ให้นั่นเอง
** โดนใครหลอกมา!? “โอ๊ค” ดิ้นไม่เลิก โยง “พะจุณณ์” รับเช็คแสนเดียว อ้างจากเงินก้อนเดียวกันกับที่ตัวเองโดนคดีฟอกเงิน ทั้งที่มูลค่าหลักแสนไม่น่าจะเป็น “เงินปากถุง” ของเงินกู้ระดับพันๆ ล้านได้
ยังดิ้นไม่เลิก .. ด้วยรู้ว่าชะตาใกล้ขาด “โอ๊คอ๊าก” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายทักษิณ ชินวัตร ที่ตกเป็นผู้ต้องหา คดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร .. ยังวนเวียนอยู่กับการ “หาพวก” พยายามโยงถึงเช็ค 2 ฉบับ มา 2 สัปดาห์ ซ้อนๆ .. ฉบับหนึ่ง 2.5 แสนบาท สั่งจ่าย "ป๋าเปรม" พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อีกฉบับ 1 แสนบาท สั่งจ่าย พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิทของ “ป๋าเปรม” .. ทั้งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ออกมาชี้แจงแล้วว่า มันไม่เกี่ยวกัน .. คราวนี้พุ่งเป้าไปที่เช็คสั่งจ่าย “พะจุณณ์” ที่เฟซบุ๊กนายโอ๊คเรียกว่า “นายพล PJ” ..โดยอ้างข้อสังเกตจาก “นักสืบออนไลน์-นักกฎหมายออนไลน์” ต่างๆ นานา ว่าเช็คมูลค่า 1 แสนบาทถ้วนมีความไม่ชอบมาพากล .. หลงลืมไปว่า “พะจุณณ์” ก็ได้เข้าให้การกับเจ้าหน้าที่หลายครั้งแล้วว่าเช็คที่ได้มาจาก เสี่ยวิชัย กฤษดาธานนท์ แห่งกฤษดามหานคร เป็นการใช้หนี้ที่หยิบยืมกัน .. แต่ “โอ๊ค” หรือใครที่อุปโลกน์ใช้เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของนายโอ๊ค กลับ “ชักแม่น้ำทั้งห้า” จะเอาให้ผิดตกต้องตามกันไปให้ได้ .. อ้างว่าเป็นการสั่งจ่ายจากเงินก้อนเดียวกันกับคดีฟอกเงิน ที่ตัวเองกำลังเดือดร้อนอยู่ แถมพยายามชี้ว่าเลขที่เช็ครันติดกัน ทั้งที่เป็นแค่ “ความบังเอิญ” เท่านั้น ..
น่าตลกที่ “โอ๊ค” พยายามเล่นในประเด็นว่า “พะจุณณ์” นำเช็ค 1 แสนไปฝากประจำเพื่อหวังดอกผลให้งอกเงยมากที่สุด .. คนระดับนี้แล้วหากต้องการผลประโยชน์อะไร คงไม่มาหวังจากดอกเบี้ยจากแบงก์ให้เปลืองเวลาหรอก .. หรือกระทั่งมองว่าขณะนั้น “พะจุณณ์” เป็นนายพลในราชการ รับเช็คมูลค่ามากกว่า 3 พันบาท ได้เคยแจ้งหน่วยงานไหนไว้ หรือไม่ .. ถ้ามีเอี่ยว “ฟอกเงิน” หรือเป็น “ค่าปากถุง” ก็น่าจะเรียกันทีเป็น “สิบล้าน” อย่างที่ “เสี่ยวิชัย” เซ็นจ่ายให้ “โอ๊ค” ในฐานะ “ลูกบิ๊กบอส” ที่ลุกลนเอาไปเข้าบัญชีตัวเอง พอเกิดเรื่องก็เลยเอามาคืนกัน แต่ก็ไม่ทัน ความผิดมันสำเร็จแล้วนั่นปะไร .. อีกทั้งมูลค่าก็ฟ้องในตัว จะ 2.5 แสน หรือแสนเดียว ก็คงไม่น่าจะเข้าข่าย “ค่าปากถุง” ของเงินกู้หลักเป็นพันล้านหรอก .. ด้วยความหวังดี มุกนี้มันแป้กตั้งแต่คิดแล้ว ก็ไม่รู้ระดับ “ลูกอดีตนายกฯ” ไปโดนใครเขาหลอกมา .. หวังว่าจะไม่มี ตอนที่ 3 ออกมาให้อับอายวงศ์ตระกูลอีกนะ เอาเวลาไปเตรียมสู้คดีในชั้นศาลน่าจะดีกว่า
ช.ชฎา