เมืองไทย 360 องศา
ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สองคนพี่น้อง กำลังมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ญี่ปุ่นไล่ขย่มรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยยกเอาเรื่องคดีที่พวกเขาถูกศาลสั่งจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต โดย “โยนระเบิด” ไปที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า “ไม่ยุติธรรม” และสรุปเอาเองเออเองทำนองว่าคดีที่ว่าพวกนี้ล้วนมีแจงจูงใจมาจากเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน ทักษิณ ชินวัตร ก็สร้างแรงกดดันเข้ามาอีกทางหนึ่งเรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติรีบคืนอำนาจให้ประชาชนและมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว
หากพิจารณากันแบบปะติดปะต่อทุกอย่างมันดูเหมือนมีความเชื่อมโยงให้เห็นอย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องมีอะไรแบบซับซ้อนมากนักก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก เพราะขณะบรรดาพรรคเพื่อไทยหรือรวมไปถึงพรรคการเมืองอื่นๆ กำลังเร่งเร้าให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เร่ง “ปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมทางการเมืองโดยเร็วและดักคอไม่ให้เลื่อนการออกตั้งออกไปอีก รวมไปถึงดาหน้าออกมาโหมโจมตีอย่างหนัก และยังมีพวกกลุ่มการเมือง “แนวร่วมเด็กๆ” ในนามกลุ่มคนอยากเลือกตั้งฉวยจังหวะออกมายั่วยุให้ป่วนอยู่นั้น ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เริ่มเดินสายสร้าง “พื้นที่ข่าว” แบบถี่ยิบกว่าเดิม
คราวที่แล้วก็ไปที่ฮ่องกง สิงคโปร์ ดูไบ คราวนี้ก็มาโผล่ที่ญี่ปุ่น มาร่วมกิจกรรมเปิดตัวหนังสือของอดีตรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนหนึ่ง แต่เชื่อว่าเจตนาที่มองเห็นก็คือต้องการ “เป็นข่าว” ยืมมือถล่ม คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในทางลบ
แน่นอนว่ามันก็ย่อมเข้าทางกันได้ไม่ยาก เพราะเวลานี้ทั้งรัฐบาล และบรรดาผู้นำ คสช.กำลังสร้าง “เงื่อนไข” ถูกวิจารณ์มากขึ้นในเรื่อง “เกมตุกติก” เพื่อหาทางยื้อเลือกตั้งออกไปให้นานที่สุด โดยเฉพาะกรณีล่าสุดจากปัญหาของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับ คือ กฎหมายที่ว่าด้วยที่มาของ ส.ว. และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ในที่สุดต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อเป็นแบบนี้มันก็เป็นไปได้สูงว่าต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากที่เคยกำหนดเอาไว้ว่าจะเลือกตั้งกันในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จนมีการเปิดช่องให้ถล่มว่า “อาจไม่มีเลือกตั้ง” ในปีหน้า เพราะ คสช.ต้องการสืบทอดอำนาจ
ถามว่ามันก็เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้เท่าๆ กัน แต่มันก็ทำให้เสียเครดิตเพราะเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาถล่มเอง
แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่ “คาบเกี่ยว” กัน หากโฟกัสไปที่ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขาการเคลื่อนไหวที่ออกมาคราวนี้มันก็น่าสงสัยเหมือนกันว่าเป็นการฉวยโอกาส “โหน” ใช้เรื่องการเมืองหลักมาใช้ “กดดัน” เพื่อหวังผ่อนคลายปัญหาส่วนตัวของพวกเขาหรือไม่ เพราะหากพิจารณาจาก “ไทม์ไลน์” แล้วมันก็บังเอิญเข้าจังหวะมาพอดิบพอดี
แม้ว่าเวลานี้หากพิจารณาเฉพาะคดีอาญาของทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งในเรื่องของคำพิพากษาจำคุก และทั้งสองคนพี่น้องก็ “หลบหนี” ไปเรียบร้อยแล้ว มีแต่เฉพาะของ ยิ่งลักษณ์ ที่ยังอยู่ในกระบวนการ “ยึดอายัดทรัพย์” ทางแพ่งจากคดีที่เกี่ยวกับความเสียหายจากคดีรับจำนำข้าว ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าไม่ว่าใครก็ย่อมหงุดหงิดหาทางเอาคืนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
แต่ที่ต้องโมโหมากไปกว่านั้นก็คือ บรรดาลูกรักที่ถือว่าเป็น “หัวใจ” ของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง พานทองแท้ ชินวัตร และ พินทองทา ชินวัตร กำลังอยู่ในข่ายถูกดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงินจากกรณี เงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มธุรกิจกฤษดามหานคร เมื่อหลายปีก่อน และเมื่อสืบค้นเส้นทางการเงินย้อนกลับไปโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ไปเชื่อมโยงถึง “ลูกโอ๊ค” และคดีนี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังจะสรุปส่งฟ้องในเร็วๆ นี้ อาจจะภายในเดือนเมษายนนี้ก็ได้
ขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ลูกสาวอีกคนของ ทักษิณ ชินวัตร ก็โพสต์ข้อความในทำนองว่า “ได้คืนเงิน” ไปหมดแล้ว หลังจากที่มีความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกับพี่ชาย เนื่องจากมีหลักฐานที่เป็นเส้นทางการเงินโยงไปถึง
แต่ที่น่าจับตาอย่างยิ่งในช่วงเดียวกันก็คือ การโพสต์ข้อความลงในโซเชียลฯ ของ พานทองแท้ ชินวัตร ที่เผยให้เห็นภาพของเช็คเงินสดจำนวน 2.5 แสนบาท สั่งจ่าย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เข้าบัญชีมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และอีกฉบับในนาม พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทที่เคยดูแลมูลนิธิดังกล่าว แน่นอนว่าเจตนาของพานทองแท้พยายามชี้ให้เห็นว่า ทีกรณี “ป๋าเปรม” ทำไมไม่ผิด แต่ทีตัวเองทำไมต้องถูกดำเนินคดีแบบสองมาตรฐานอะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามความเป็นจริง เช็คสั่งจ่ายดังกล่าวนั้นเจตนาเข้าบัญชีมูลนิธิการกุศล ส่วนกรณีของพานทองแท้ และ แพทองธาร นั้นเป็นบัญชีส่วนตัว และเป็นการโอนจากกลุ่มธุรกิจที่ถือว่ามีที่มาที่ไปในเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงินที่ผิดสังเกต รวมไปถึงการขอสินเชื่อที่มิชอบซึ่งมีการจำคุกผู้ที่เกี่ยวข้องกันกราวรูดไปแล้ว และในจำนวนนั้นก็มี ทักษิณ ชินวัตร ถูกฟ้องเป็นจำเลย แต่หนีไปก่อน จนต้องจำหน่ายคดีชั่วคราว และตามกฎหมายใหม่ก็เริ่มรื้อฟื้นมาพิจารณาในศาลกันลับหลังได้ แบบนี้หรือเปล่าทำให้ “นั่งกันไม่ติด”
วกมาที่กรณีของเช็คสั่งจ่ายในชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เชื่อว่าต้องมีคำอธิบายตามมาให้เห็นแล้วว่าเงินบริจาคเข้าการกุศล ขณะเดียวกันด้วยวิถีปฏิบัติมันก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง “ป๋าเปรม” ไม่ได้ทำธุรกิจ ยังโสด ไม่มีธุรกิจการเมือง ไม่มีเครือญาติหรือคนในครอบครัวมีธุรกิจที่น่าสงสัย ซึ่งที่ผ่านมาสังคมได้รับรู้ ขณะที่มองไปที่ครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร ล้วนมีภาพตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง และการที่อ้างว่า “คืนเงินไปหมดแล้ว” มันก็ใช้ไม่ได้ในทางคดี เพราะหากเป็นความจริงมันก็ถือว่า “ความผิดสำเร็จแล้ว”
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวทั้งจากตัวของ “สองพี่น้อง” ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึง พานทองแท้-แพทองธาร ชินวัตร มันก็เหมือนกับการโยนระเบิดใส่รัฐบาลและ คสช.เพื่อดิสเครดิต เพื่อให้ตัวเองและคนในครอบครัวได้รอด ขณะเดียวกันในกรณีที่ พานทองแท้ ออกมาระบุในเรื่องเช็คเงินบริจาคในชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั้นมองอีกมุมหนึ่งก็ถือว่า “โหดมาก” เพราะไม่ต่างจากการที่ตัวเอง “คาดเข็มขัดระเบิด” ไว้เต็มตัวแล้วเดินไป “จุดระเบิด” ซึ่งด้วยอานุภาพทำลายล้างก็ทำลายคนในบริเวณนั้นต้องตายไปด้วย กรณีนี้ก็เหมือนกับว่าเจตนาต้องการทำลาย “ป๋าเปรม” ให้แปดเปื้อนไปด้วยกันนั่นแหละ!