ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ตู้กรองน้ำสเปกเทพ!! พิรุธเพียบ “ศอ.บต.”เทงบ 56.5 ล้าน ตั้งตู้กรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ราคาตู้ละครึ่งล้าน ปูพรม 101 จุดพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ วิจารณ์ยับ แพงเกินจริง ใช้ทริก แยก 2 สัญญาจัดซื้อเลี่ยงประมูล ตอกย้ำทำงานชายแดนใต้ เสี่ยงตายแค่ไหน แต่“งบแก้ไฟใต้”ก็หอมหวานเกินห้ามใจ
ช่วงเวลาแห่งการกอบโกย .. วิพากษ์กันสนั่น โครงการติดตั้ง"ตู้กรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์" ในความรับผิดชอบของ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สังกัดศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) สนนราคาตกเครื่องละ 5 แสนบาท .. เห็นทาง“สำนักข่าวอิศรา” ไปตรวจสอบพบว่ามีการวางงบประมาณ สำหรับโครงการนี้ไว้ราว 56.5 ล้านบาท .. สำหรับการติดตั้ง "ตู้กรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์" ทั้งหมด 101 จุด ในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดชายแดนใต้ .. แน่นอนว่า “เบื้องหน้า”เป็นการสนับสนุนระบบสาธารณูปโภคให้กับประชาชนในพื้นที่ แต่“เบื้องหลัง”กลับเกิด “ข้อพิรุธ”หลายอย่าง .. ตั้งแต่การที่ ศอ.บต. แบ่งการจัดซื้อจัดจ้างเป็น 2 สัญญา ซึ่ง “ผู้สันทัดกรณี”ฟันธงว่า เพื่อหลีกเลี่ยง “ระเบียบพัสดุ”ปูทางจัดซื้อจัดจ้าง“ด้วยวิธีพิเศษ”ไม่ต้องประมูลให้เสียเวลา .. และเรื่องจุดติดตั้งหลายแห่งก็อยู่ห่างไกล ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้กับชาวบ้านอย่างแท้จริง ..
ที่ติดใจกันที่สุดคงเป็นราคาเครื่อง ที่รวมค่าติดตั้งแล้วตกจุดละ 5.49 แสนบาท ที่ใครต่อใครก็มองว่า“แพงเกินจริง”และน่าจะเอาเงินไปทำอย่างอื่นมากกว่า.. แถมติดไม่ทันไร บางจุดก็เกิดชำรุด-มีสนิทขึ้นเสียแล้ว ไม่สมราคา“ครึ่งล้าน”ต่อตู้เลย .. อีกทั้งการจัดซื้อ "ตู้กรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์" ของภาครัฐ ก็เคยมีมาบ้างแล้ว ราคาสวิงแคบๆ อยู่ที่ 2-3 แสนบาทต่อตู้ ที่หลายคนก็ว่าแพงมากแล้ว นี่เล่นกดขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว .. ที่น่าเจ็บใจ ก็เจ้าเครื่องพรรค์นี้ เคยมีการวิจัยและผลิตโดยคนไทยมาแล้ว เจ้าของผลงานเปิดเผยว่า ต้นทุนอยู่ที่เครื่องละ 2-3 หมื่นบาทเท่านั้นเอง .. ความพิลึกกึกกือที่เกิดขึ้น "ศุภณัฐ สิรันทวิเนติ" เลขาธิการ ศอ.บต. น่าจะเป็นผู้ชี้แจงได้ดีที่สุด .. แล้วก็คงชี้แจงแบบ ขอไปที-แก้ผ้าเอาหน้ารอดไม่ได้ ด้วยมีฐานะหน่วยงานขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีอยู่ .. หากเกิดมีการทุจริต หรือเบิกจ่ายงบประมาณอย่างไม่ชอบมาพากลจริง “นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะพ่อคู้ณณณณ .. ตอกย้ำให้เห็นๆ อีกครั้งว่า ที่หลายคนพูดกันว่า การทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นเดิมพัน .. ขณะดียวกัน“งบประมาณแก้ไฟใต้”ก็ช่างเย้ายวน จนเป็นแดนสวรรค์ของระดับบิ๊กๆ หลายคน ที่ยอมมาประจำพื้นที่ แบบไม่กลัวตาย
**ถอนรากแก๊งปั่นหุ้น!! ก.ล.ต.ลุยเอาผิด “25นักปั่นหุ้น - 6 หลักทรัพย์”เอาผิดทางแพ่ง 890 ล้านเอง เมินยืมมือ“ดีเอสไอ”หวั่นถูกตัดตอนซ้ำซาก พร้อมเขี่ยลูกให้ ปปง. แกะรอยเส้นทางการเงิน อาจจะมีคิวกระชากหน้ากาก “ตัวบงการ”ที่อยู่เบื้องหลัง
ไม่ค่อยได้เห็นกัน .. กับบทบาทของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่แอคชั่นแรง กล่าวโทษ “เครือข่ายแก๊งปั่นหุ้นใหญ่”เป็นประวัติการณ์ .. ล็อกเป้า“นักปั่นหุ้น 25ราย- 6 หลักทรัพย์”อันประกอบด้วย MILL-บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) POLAR-บริษัท โพลารีส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) NBC-บริษัท เนชั่น บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) NINE-บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้ง วอร์แรนต์ของหุ้น NINE ตลอดจน NEWS-บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) .. จะเห็นได้ว่ามี“หุ้นสื่อ”อยู่หลายตัวทีเดียว ซึ่งทั้งหมดตอนนี้ก็เป็น“เนื้อเดียวกัน”ไปแล้ว .. สอดรับกับทิศทางการนำเสนอข่าวของ“บางสื่อ” ก่อนหน้านี้ ที่มุ่งโจมตีทั้ง ก.ล.ต. รวมทั้ง รพี สุจริตกุล เลขาธิการก.ล.ต.อย่างผิดสังเกต .. นัยว่าจะ“ดิสเครดิต”ด้วยมีกระแสข่าวว่า “เลขาฯรพี”กำลังจะลงดาบ กล่าวโทษ “แก๊งปั่นหุ้น”นั่นเอง ..
น่าสังเกตอีกว่าหนนี้ ก.ล.ต.เลือกที่จะเดินหน้าเอาผิดทางแพ่ง ราว 890 ล้านบาท โดยชงเรื่องให้ คณะกรรมการพิจารณาการลงโทษทางแพ่ง และประสาน อัยการสูงสุด ด้วยตัวเอง .. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มักส่งเรื่องให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นหัวหอก แต่เกือบทุกคดีถูก“ตัดตอน” เรียบ .. แถมงวดนี้ “แก๊งปั่นหุ้น”ต้องขนหัวลุกอีก เมื่อจะมีการรายงานไปยัง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ช่วยแกะรอยเส้นทางการเงิน ด้วยฐานความผิดที่เข้าข่าย“ฟอกเงิน”ด้วย .. หมากนี้ของ ก.ล.ต. ส่งผลให้คนที่ขนพองสยองเกล้าไม่ใช่แค่“นอมินี”25คน ที่มีเอี่ยวกับความผิด ปกติของหุ้น 6 ตัวเท่านั้น .. อาจจะมีคิวกระชากหน้ากากให้เห็น “ผู้บงการใหญ่” ที่อยู่เบื้องหลังด้วยล่ะสิ งานนี้
** สำนวนไม่ได้อ่อน!! แค่ขาด“หลักฐานสำคัญ”อัยการทักตำรวจลืมส่ง “ลายนิ้วมือ”บนไกปืนแนบมากับสำนวน“คดีเปรมชัย”กองพิสูจน์หลักฐานฯแจง “ดีเอ็นเอ-ลายนิ้วแฝง” ที่พบ ไม่มีสภาพ ไม่สมบูรณ์ ก็เลยไม่ใส่ไปในสำนวน
และแล้วก็ถึงบางอ้อ .. เหตุที่ “อัยการ”ตีกลับสำนวนคดี“พรานเจ้าสัว”เปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสอิตาเลียนไทย ให้ทางตำรวจดำเนินการเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ .. ก็ด้วยอัยการเห็นว่า ขาด“สาระสำคัญ”อย่าง “ดีเอ็นเอ-ลายนิ้วแฝง”บนโกร่งไกปืนลูกซอง ที่ “ตกหล่น”ไปจากสำนวน .. โดย พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง (ผบก.พฐก.) ของสตช. ก็ยอมรับว่า ไม่ได้ส่งผลการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือ บนปืนทั้ง 3 กระบอกในที่เกิดเหตุไปจริงๆ ด้วย“ลายนิ้วมือ”ที่พบ ไม่มีสภาพ ไม่สมบูรณ์ จนไม่อาจยืนยัน“เจ้าของลายมือ”ได้ .. ขัดแย้งกับข่าวก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่า
“ผบก.พฐก.”บอกว่า พบลายนิ้วมือแฝงของ “เสี่ยเปรมชัย”บนโกร่งไกปืนลูกซอง ที่คาดว่าน่าจะ เป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ใช้ยิงเสือดำ .. เมื่อขาด “หลักฐานสำคัญ”ที่เชื่อว่าจะใช้ในการเอาผิดกับ “เปรมชัยแอนด์เดอะแก๊ง”ได้ ก็เข้าเค้าความระแวงของสังคม ที่เกรงว่าสำนวนอาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะเอาผิด “เสี่ยเปรมชัย”ได้ .. ก็ดีที่ “อัยการ”ทักขึ้นมาตั้งแต่ในขั้นตอนนี้ หากปล่อยผ่านไปตามดุลพินิจของทางตำรวจ ก็อาจเปิดช่องให้“หลุด” ไปได้ง่ายๆ .. เพราะจะเอาเรื่อง“ผู้ต้องหา”ที่มี “เงินหนา -คอนเนกชั่นปึ้ก”ระดับนี้ ก็ต้องเอาให้มันแน่นหนา รอบคอบซักหน่อย .. ไม่ได้อคติแต่อย่างใด พิเคราะห์สาเหตุที่ตำรวจไม่แนบ“ดีเอ็นเอ-ลายนิ้วมือแฝง” ก็เห็นว่ามันพิสูจน์หาเจ้าของไม่ได้จริง และก็คงมั่นใจในประจักษ์หลักฐานประกอบอื่นๆมากกว่าละมั้ง .. ยืนยันแทนอีกครั้งว่า“สำนวนไม่ได้อ่อน”แต่แค่ขาด “หลักฐานสำคัญ”เอง เหอะๆ.
ช.ชฎา